วันที่ 6 มกราคม คือวันที่สภาคองเกรสสหรัฐฯ ประชุมเพื่อนับคะแนนของ ‘คณะเลือกตั้ง’ หรือ Electoral College ของทุกรัฐ เพื่อลงมติอย่างเป็นทางการในการยอมรับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ แต่ก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อมีผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาชุมนุมบุกยึดสภาคองเกรส ทำให้การรับรองคะแนนการเลือกตั้งต้องถูกเลื่อนออกไป และกลับมาดำเนินการประชุมอีกครั้งหลังจากต้องหยุดไปกว่า 3 ชั่วโมง
จะเกิดอะไรขึ้นกับบิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซี เมื่อไบเดนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ถ้าจะมองถึงนโยบายของไบเดนในเรื่องนี้ คงต้องมาดูกันที่มุมมองของทีมกำกับนโยบายการเงินที่ไบเดนจะแต่งตั้ง ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อตลาดสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งขณะนี้มีมุมมอง 2 ขั้วของว่าที่ทีมบริหารที่น่าจับตาได้แก่ เจเน็ต เยลเลน (Janet Yellen) และ แกรี เจนส์เลอร์ (Gary Gensler)
เยลเลน ว่าที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ นั้นมีความกังวลอยู่ 2 ประเด็น นั่นก็คือ ประเด็น Cybersecurity ความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ และประเด็นการนำบิตคอยน์ไปทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย นอกจากนั้นเธอยังกล่าวว่าเธอไม่ใช่แฟนของบิตคอยน์ และบอกว่า “Bitcoin is not a stable store of value”
ในขณะที่เจนส์เลอร์นั้นเรียกว่าถึงขั้นเป็นฝ่ายโปรบิตคอยน์เลยทีเดียว เขาเคยเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายการเงินที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานการค้าตลาดล่วงหน้าและคอมโมดิตี้ (CFTC) ในสมัยประธานาธิบดีโอบามา เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาสงสัยในระบบการเงินแบบเดิม และได้แสดงความเชื่อมั่นในบิตคอยน์ เมื่อสัปดาห์ก่อน Bloomberg รายงานว่าเจนส์เลอร์อาจได้รับการเสนอชื่อให้แทนที่ เจย์ เคลย์ตัน (Jay Clayton) ประธานกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ว่าผู้ออกกฎหมายจากฝั่งเดโมแครตจะพยายามให้ Stablecoin ปรับเข้ากับกฎเกณฑ์ด้านการเงินแบบดั้งเดิม Traditional Finance ให้เดินไปด้วยกันได้สำเร็จ ตลอดจนมีความสงสัยกันว่าไบเดนจะขึ้นภาษีคริปโตเคอร์เรนซีหรือไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันว่าไบเดนต้องการขึ้นภาษี Corporate Tax ให้อยู่ที่ 28% จากที่เคยคิดเพียง 21% ในสมัยทรัมป์
บิตคอยน์ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ 36,918 ดอลลาร์สหรัฐ
ไม่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร วันที่ 6 มกราคม ก็เป็นอีกครั้งที่บิตคอยน์สร้างสถิติราคาสูงสุด ที่ 36,918 ดอลลาร์ (อ้างอิงราคาจาก Cointelegraph) ทั้งนี้เกิดจากแรงช้อนซื้อของนักลงทุนในช่วงที่ราคาย่อลง ซึ่งสร้างโมเมนตัมเพียงพอที่จะส่งราคาบิตคอยน์ไปสู่จุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลอีกครั้ง Guggenheim บริษัทจัดการลงทุน มองราคาบิตคอยน์ไว้ที่ 400,000 ดอลลาร์
เหตุผล 3 ประการที่บิตคอยน์จะไม่ลงไปต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์
การที่บิตคอยน์ทำราคาสูงสุดใหม่อีกครั้ง ตลาดกำลังส่งสัญญาณว่าความสำคัญของเหล่าวาฬ (Big Whale) เริ่มลดบทบาทลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันผู้เล่นรายใหญ่และหน้าใหม่ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบัน (Hedge Funds, Asset Management, Corporates) ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาส 4/20 เป็นต้นมา
เหตุผลสำคัญ 3 ข้อ ที่ทำให้ บิตคอยน์ ขึ้นแล้วจะไม่ลงไปต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์ เหมือนช่วงปี 2018-ก่อนไตรมาส 4/20 ก็คือ
- สัญญาณที่สำคัญคือค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนมาก เพราะสหรัฐฯ กระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ทั้งนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และนโยบายการคลังที่ผ่านสภาคองเกรสแบบมโหฬาร สังเกตว่าเงินดอลลาร์นั้นอ่อนค่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับบิตคอยน์ ทองคำ หรือแม้แต่ราคาทองแดง และเงินบาทในวันเปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา
- บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะ Reserve Asset มากขึ้นอย่างก้าวกระโดดถ้าเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เช่น MicroStrategy ซื้อ บิตคอยน์ไปถึง 650 ล้านดอลลาร์ ที่ช่วงราคาประมาณ 21,925 ดอลลาร์, MassMutual ซื้อทั้งบิตคอยน์และหุ้นส่วนของ NYDIC ซึ่งเป็นบริษัทการเงินที่เน้นการลงทุนในบิตคอยน์ เป็นเงิน 100 ล้านดอลลาร์ รวมไปถึงการลงทุนในบิตคอยน์เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาของเจ้าของ Hedge Fund ขนาดหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีชื่อเสียง เช่น Paul Tudor Jones, Ruffer Investment Hedge Fund ลงทุนในบิตคอยน์ไป 745 ล้านดอลลาร์, SkyBridge Capital Hedge Fund เข้าซื้อบิตคอยน์ไป 182 ล้านดอลลาร์, One River Asset Management เข้าซื้อบิตคอยน์ไป 600 ล้านดอลลาร์ และตั้งใจจะซื้ออีกจนครบ 1 พันล้านดอลลาร์
- สินทรัพย์ดิจิทัลจะเริ่มมีช่องทางการเข้าถึงที่แพร่หลายสู่ผู้ใช้ทั่วโลกมากขึ้นผ่าน PayPal ที่มีทั้ง 20 ล้านร้านค้า และสมาชิกผู้ใช้ทั่วโลกประจำอยู่ 346 ล้านสมาชิก รวมไปถึงความร่วมมือของ Visa และ USDC ซึ่งจะทำให้ร้านค้าจำนวน 60 ล้านร้านค้าทั่วโลกเข้าถึงการใช้เงินคริปโตเคอร์เรนซีได้
ช่วงนี้ตลาดบิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีร้อนแรงและเย้ายวนใจ มีมิจฉาชีพมากมายที่ใช้โอกาสจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีดีพอ หลอกลวงนักลงทุน ดังนั้นจะต้องระมัดระวังให้มาก การลงทุนสินทรัพย์ทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง สินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเป็นสินทรัพย์เสี่ยงสูง ควรศึกษาหาความรู้ให้เข้าใจ เทรดแบบมองข้อมูลเชิงพื้นฐาน และศึกษาข้อมูลเชิงลึกด้วยเพื่อป้องกันความเสี่ยง ที่สำคัญคือต้องใช้สติและวิจารณญาณในการลงทุน และจะซื้อขายให้ปลอดภัย ต้องผ่านเว็บเทรดที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจาก ก.ล.ต. อย่าง Satang Pro ที่เน้นการพัฒนาระบบความเสถียร รวดเร็ว ตลอดจนรักษามาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลและสินทรัพย์ของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล