ในขณะที่แฟน ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังตื่นเต้นไปกับข่าวการยื่นข้อเสนอเทกโอเวอร์สโมสรซึ่งมีการเปิดเผยแล้วว่าอย่างน้อยมีถึง 3 กลุ่มทุนที่ยื่นข้อเสนอเข้ามา แฟน ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูลจำนวนไม่น้อยที่รอลุ้นว่าจะมีข่าวดีของทีมตัวเองบ้างไหม
แต่ปรากฏว่าล่าสุด จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี เจ้าของสโมสรโดยหลักการได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าขณะนี้กลุ่ม Fenway Sports Group ในฐานะเจ้าของสโมสรตัวจริงไม่มีแนวคิดที่จะขายสโมสรออกไปในเวลานี้
เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร? และมันจะนำลิเวอร์พูลไปสู่จุดไหนต่อ?
จุดยืนอันหนักแน่นของ FSG
ในเรื่องอนาคตของสโมสรลิเวอร์พูลที่มีกระแสข่าวลือมานานหลายเดือนถึงการเปลี่ยนแปลงเจ้าของสโมสร ทางด้าน จอห์น เฮนรี ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนแบบไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกในการตอบอีเมลของ Boston Sports Journal
คำถามที่ถูกถามมีทั้งในเรื่องของการแข่งขันเบสบอลเมเจอร์ลีกฤดูกาลใหม่ อนาคตของบอสตันเรดซ็อกซ์ ทีมเบสบอลที่ FSG เป็นเจ้าของด้วย รวมถึงไปอนาคตของลิเวอร์พูล ซึ่งถูกถามรวบไปพร้อมกันว่าหาก FSG ไม่คิดที่จะขายเรดซ็อกซ์ออกไปในอนาคตอันใกล้ จะหมายถึงโอกาสที่จะขายลิเวอร์พูล
“ใช่ ผมรู้ว่ามีการพูดคุยและมีการหยิบยกคำพูดเกี่ยวกับ LFC (สโมสรลิเวอร์พูล) มาเยอะ แต่ผมอยากจะขอยึดตามข้อเท็จจริงคือ เรากำลังเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของกระบวนการ”
ก่อนที่เฮนรีจะตอบชัดใน 3 ข้อ
- FSG ไม่คิดที่จะลงทุนอยู่ในอังกฤษไปตลอด
- FSG ยังไม่คิดที่จะขายลิเวอร์พูลออกไปในตอนนี้
- FSG กำลังเจรจากับนักลงทุนที่สนใจจะร่วมทุนในทีมลิเวอร์พูล
โดยจากข้อ 3 ทางด้านเฮนรียังบอกว่า “การร่วมทุนจะเกิดขึ้นไหม? ผมหวังไว้แบบนั้น แต่มันจะไม่ใช่การขายสโมสรออกไป ถามหน่อยว่าเราเคยขายอะไรออกไปบ้างในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา?”
ตกลงแล้ว FSG ไม่อยากขายลิเวอร์พูล?
ย้อนกลับไปในช่วงเดือนพฤศจิกายนก่อนหน้าที่ตระกูลเกลเซอร์จะมีการประกาศขายแมนฯ ยูไนเต็ด ทางด้าน FSG ได้มีการส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงภายในสโมสรโดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่าต้องการที่จะ ‘หาผู้ถือหุ้นรายใหม่’
เป้าหมายของการหาผู้ถือหุ้นรายใหม่ในครั้งนั้นเพื่อทำให้ลิเวอร์พูลมีศักยภาพทางการเงินที่เข้มแข็งพอที่จะแข่งขันกับสโมสรอื่นในพรีเมียร์ลีกและในรายการสโมสรยุโรป ซึ่งปัจจุบันการแข่งขันรุนแรงอย่างมาก
ในเวลานั้นนักวิเคราะห์เชื่อว่าคำว่า ‘ผู้ถือหุ้นรายใหม่’ ในความหมายของ FSG คือการประกาศขายสโมสรทางอ้อมโดยไม่พูดคำว่าขาย โดยที่หากมีนักลงทุนที่พร้อมจ่ายในสนนราคาที่ FSG ต้องการที่ราว 4.5 พันล้านปอนด์ ก็ยินดีที่จะขายสโมสรออกไปทั้งหมด
โดยในเวลานั้น FSG ได้มีการมอบหมายให้ Goldman Sachs และ Morgan Stanley สองยักษ์ใหญ่ธนาคารเพื่อการลงทุนเป็นผู้ประสานกับนักลงทุนทั่วโลกเพื่อดูแลการเจรจาให้ลุล่วง โดยมีการจัดทำโบรชัวร์แนะนำข้อมูลของลิเวอร์พูลให้แก่นักลงทุนตามขั้นตอนปกติ
กลุ่มนักลงทุนที่มีกระแสข่าวมีมากมายทั้งจากสหรัฐอเมริกา เอเชีย ไปจนถึงตะวันออกกลางที่มีข่าวเชื่อมโยงกับราชวงศ์กาตาร์และซาอุดีอาระเบีย ทำให้แฟนเดอะ ค็อป บนโซเชียลมีเดียฝันไกลว่าสโมสรจะมีเงินลงทุนซื้อผู้เล่นระดับท็อปไว้แข่งกับทีมอื่นบ้าง
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนเมื่อเวลาผ่านไปท่าทีของ FSG จะเริ่มชัดเจนขึ้นว่าไม่ต้องการที่จะขายสโมสรที่ครอบครองเอาไว้ตั้งแต่ปี 2010 ด้วยเงิน 300 ล้านปอนด์ แต่ต้องการที่จะหานักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเข้ามาร่วมทุนด้วย เหมือนที่ตกลงขายหุ้นบางส่วนของ FSG ให้กับกลุ่มทุน RedBird Capital Partners ในเดือนมีนาคม 2021 ด้วยราคา 543 ล้านปอนด์
ทำไมถึงไม่ยอมขาย?
เรื่องนี้ไม่มีการชี้แจงอย่างเป็นทางการออกมา แต่หากมองไปยังผลงานของ FSG ในการเปลี่ยนแปลงสโมสรลิเวอร์พูลในช่วงเกือบ 13 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า FSG ได้นำลิเวอร์พูลมาสู่จุดที่ดีกว่าเดิมมาก
FSG สามารถปลดล็อกเรื่องสนามแห่งใหม่ที่เป็นปมมาตั้งแต่ยุคของ เดวิด มัวร์ส อดีตประธานสโมสรผู้ล่วงลับ ซึ่งต้องการจะสร้างสนามแห่งใหม่ที่มีความจุเพิ่มมากขึ้น เพราะตระหนักว่าความจุเดิม 44,000 ที่นั่งของแอนฟิลด์ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมแข่งขันกับสโมสรอื่นได้เมื่อเทียบกับแมนฯ ยูไนเต็ดที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดมีความจุมากกว่าเกือบเท่าตัว
ปัจจุบันลิเวอร์พูลขยายสนามเป็น 54,000 ที่นั่ง และหากอัฒจันทร์ฝั่งแอนฟิลด์โรดปรับปรุงเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการทันฤดูกาล 2023/24 สนามแอนฟิลด์จะมีความจุเพิ่มเป็น 61,000 ที่นั่ง
นอกจากนี้ FSG ยังลงทุนอีก 100 ล้านปอนด์ เพื่อสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลอันทันสมัยแห่งใหม่ที่เคิร์กบีเพื่อทดแทนสนามซ้อมเมลวูด ที่แม้จะเป็นสนามระดับตำนานแต่ไม่เพียงพอสำหรับการรองรับทีมในปัจจุบัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตที่สโมสรจะหันกลับมาโฟกัสการพัฒนานักเตะจากระดับเยาวชนขึ้นมา
ในเรื่องนอกสนาม FSG ทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีการบริหารจัดการดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีการใช้งบประมาณทำทีมอย่างคุ้มค่า และหารายได้เข้าสโมสรได้อย่างมากมายมหาศาล
การประกาศกิตติคุณที่สำคัญคือผลจากการจัดอันดับ Football Money League ของ Deloitte เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งลิเวอร์พูลแซงหน้าแมนฯ ยูไนเต็ดได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยทำรายได้ถึง 701.7 ล้านยูโร สูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ครองแชมป์เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และเรอัล มาดริด
เรียกได้ว่าการลงทุนและลงแรงมากมายของ FSG นั้นเพื่ออนาคตที่ ‘ยั่งยืน’ ของลิเวอร์พูล ซึ่งนั่นจะย้อนกลับมาเป็นคำตอบว่าทำไมพวกเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งรีบขายสโมสรออกไป
ในเมื่อยังมีโอกาสและเวลาที่จะเก็บเกี่ยวประโยชน์จากการลงทุนได้อีกมาก
แบบนี้ลิเวอร์พูลจะมีงบซื้อตัวผู้เล่นไหม?
การเทกโอเวอร์สโมสรไม่ได้เป็นการการันตีว่าทีมจะได้รับงบประมาณในการซื้อหาผู้เล่นเข้ามา แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วเมื่อมีการเทกโอเวอร์เกิดขึ้น เจ้าของสโมสรใหม่จะยินดีจ่ายไม่อั้นเพื่อเป็นการแสดงความตั้งใจที่จะพาทีมประสบความสำเร็จ
สำหรับกรณีของลิเวอร์พูล หากไม่มีการเทกโอเวอร์เกิดขึ้นก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีงบประมาณในการซื้อตัวผู้เล่น ในทางตรงกันข้าม สื่อที่น่าเชื่อถือได้หลายแห่งระบุตรงกันว่า ในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้จะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของทีมในการหานักเตะฝีเท้าดีเข้ามาเสริมทัพ
ประเมินเอาไว้ว่า เจอร์เกน คล็อปป์ จะได้รับงบประมาณในการทำทีมราว 250 ล้านปอนด์ ซึ่งจะโฟกัสไปที่ตำแหน่งแดนกลางของทีมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 2-3 ราย หาก นาบี เกอิตา และ อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน ไม่ได้รับการต่อสัญญาและไปจากสโมสร
สตาร์ที่อยู่ในข่ายมีตั้งแต่ จูด เบลลิงแฮม ที่กระแสลือหนักถึงขั้นบอกว่าคล็อปป์พยายามติดต่อสอบถามความคืบหน้าเป็นระยะ มาเตอุส นูเนส กองกลางจากวูล์ฟส์ที่เป็นเป้าหมายเดิมตั้งแต่ครั้งอยู่กับสปอร์ติง ลิสบอน และ เมสัน เมาท์ กองกลางสารพัดประโยชน์จากเชลซีที่อาจจะได้มาแบบฟรีๆ
งบประมาณส่วนนี้อยู่ในแผนที่ FSG จัดเตรียมเอาไว้อยู่แล้วในแนวทางการบริหารแบบ Moneyball ของพวกเขาที่ทำให้ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จอย่างสูงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เพียงแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขาดการลงทุนในช่วงหลายปีหลังซึ่งเทียบกับคู่แข่งแล้วน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ลิเวอร์พูลประสบปัญหาสาหัสในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากมีข่าวดีเรื่องผู้ร่วมทุนรายใหม่เข้ามา ลิเวอร์พูลน่าจะมีงบประมาณสำหรับการทำทีมในช่วงปิดฤดูกาลนี้ เพียงแต่จะไม่ใช่การลงทุนแบบไม่อั้นเหมือนทีมที่มีเจ้าของเป็นกลุ่มตะวันออกกลางที่สามารถอัดฉีดเงินเข้าสโมสรได้โดยที่ยังไม่สามารถเอาผิดได้ (แม้แมนฯ ซิตี้จะเจอคดีจากพรีเมียร์ลีกในเวลานี้ก็ตาม)
แต่สำหรับคล็อปป์ ผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ FSG และทำงานด้วยกันอย่างราบรื่นมาโดยตลอด ข่าวนี้อาจจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้จัดการทีมชาวเยอรมนีที่ได้ความชัดเจนจากเจ้าของสโมสรถึงเรื่องอนาคต ก่อนหน้าที่จะคุมทีมลงสนามในเกมล้างตากับคู่ปรับที่ทำแสบมา 2 ครั้งซ้อนในนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกอย่างเรอัล มาดริด
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2023/feb/20/liverpool-not-for-sale-confirm-owners-fenway-sports-group
- https://www.theguardian.com/football/2022/nov/07/fsg-fully-committed-to-liverpool-amid-reports-of-club-being-put-up-for-sale
- https://www.telegraph.co.uk/football/2023/02/20/liverpool-not-sale-say-owners/