หลังจาก iPhone 15 เปิดตัวไปเมื่อ 3 เดือนก่อน หลายคนที่ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ iPhone รุ่นใหม่น่าจะได้ลองสัมผัสและใช้งานจริงกันไปพอสมควรแล้ว แต่สำหรับบางคนที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าถึงเวลาเปลี่ยนโทรศัพท์แล้วหรือยัง นี่อาจเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับใครที่กำลังมองหาอยู่
ต้องออกตัวก่อนว่าข้อมูลเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งอาจเป็นความชอบและไม่ชอบจากการทดลองใช้งานจริง หลังจากตัดสินใจเปลี่ยนจาก iPhone XR มาสู่ iPhone 15
ด้วยเวลาที่ต่างกันถึง 5 ปี ทำให้การเปลี่ยนครั้งนี้สัมผัสได้ถึงความแตกต่างหลายอย่าง ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ สั้นๆ คงบอกได้ว่า iPhone 15 เมื่อเทียบกับ iPhone XR ทั้งประมวลผลเร็วกว่าและน้ำหนักเบากว่า
แน่นอนว่าเทคโนโลยีต่างๆ ดีขึ้น เช่น กล้องคมชัดมากขึ้น พร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยงามขึ้น แต่สำหรับใครที่อาจไม่ได้ใช้งานภาพในเชิงครีเอทีฟหนักๆ ภาพที่ถ่ายได้จากกล้องของ iPhone XR ก็ยังตอบโจทย์อยู่
ส่วนฟีเจอร์ Dynamic Island แม้จะไม่ใช่สิ่งใหม่แกะกล่องของ iPhone 15 เพราะเริ่มมีมาตั้งแต่ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max แต่ในเมื่อย้อนกลับไปสู่ยุค iPhone XR หรือ iPhone XS ที่ยังไม่มีฟีเจอร์นี้ ทำให้การเปลี่ยนสมาร์ทโฟนครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นได้พอสมควร
ประโยชน์หลักที่รับรู้ได้จากการใช้งาน Dynamic Island คือการสลับการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ บน iPhone ของเราได้ค่อนข้างสะดวก
สาย Type-C คืออีกการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ iPhone 15 เมื่อเทียบกับไอโฟนรุ่นก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้ส่วนที่ดีคือเราสามารถใช้สายชาร์จเดียวกันกับ iPad ได้เลย ทำให้การพกพาสายชาร์จไปยังสถานที่ต่างๆ ง่ายขึ้น แต่ปัญหาหนึ่งที่พบเจอคือ สถานที่ต่างๆ ที่มักจะมีแท่นชาร์จให้กับโทรศัพท์ เช่น โรงแรม สนามบิน ยังคงใช้ช่องเสียบแบบ USB
ส่วนสุดท้ายคือเรื่องของดีไซน์ที่อาจเป็นเพียงความชอบส่วนบุคคล จากการใช้งาน iPhone 15 ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกของการใช้ iPhone ที่เราตัดสินใจไม่ใส่เคสเพื่อป้องกันรอยขีดข่วนหรือการทำตกหล่น
เหตุผลสำคัญคือความรู้สึกต่อการสัมผัสผิววัสดุของ iPhone รุ่นล่าสุด ที่ได้รับการเคลมว่าทำมาจากไทเทเนียม ซึ่งการใช้งานจนถึงปัจจุบันแทบจะไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือความระมัดระวังที่ต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากที่จะไม่ทำหล่นอย่างเด็ดขาด
สำหรับใครที่มีคำถามว่า ในความเป็นจริงแล้วคนเราควรเปลี่ยนโทรศัพท์ทุกๆ กี่ปีจึงจะเหมาะสมที่สุด
บทความหนึ่งของ The New York Times ที่ชื่อว่า Buy or Wait? Here a Guide to Phone Upgrades แนะนำไว้ว่า ก่อนอื่นสิ่งสำคัญที่สุดคือการถามตัวเองว่า เรามีความสุขดีกับการใช้งานโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันหรือไม่
หากเต็มไปด้วยปัญหา ทั้งต้องซ่อมแซมบ่อย เครื่องค้าง ประมวลผลช้า เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของการมองหาโทรศัพท์เครื่องใหม่
แต่บางปัญหาเราอาจสามารถแก้เฉพาะจุดไปได้ เช่น แบตเตอรี่เสื่อม สามารถแก้ได้ด้วยการเปลี่ยนแบตเตอรี่ หรือหน้าจอแตก เราอาจเปลี่ยนหน้าจอได้ ในกรณีที่ปัญหาอื่นๆ ไม่ได้หนักหนามากจนเกินไป
อีกส่วนหนึ่งที่เราอาจต้องเริ่มพิจารณาสำหรับการตัดสินใจเปลี่ยนโทรศัพท์คือ เรายังสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์ต่างๆ ให้เป็นปัจจุบันได้อยู่หรือไม่ เพราะสมาร์ทโฟนในปัจจุบันอุดมไปด้วยแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ต้องอาศัยการอัปเดตเวอร์ชันอยู่ตลอด และอาจกระทบต่อการใช้งาน
นอกจากนี้คือการพิจารณาในเรื่องของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป หากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเป็นเพียง ‘Minor Change’ หรือเรียกได้ว่าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ การใช้เครื่องเดิมต่อไปก็อาจเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว แต่หากมี ‘Major Change’ เกิดขึ้น บางครั้งการตัดสินใจเปลี่ยนหลังจากใช้งานมาได้ 3-5 ปี ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม
ภาพ: Justin Sullivan / Getty Images
อ้างอิง: