วันนี้ (28 พฤษภาคม) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังหารือกับผู้บัญชาการทหารเรือ ถึงความคืบหน้าโครงการจัดซื้อเรือฟริเกตและเรือดำน้ำ โดยยืนยันว่า กองทัพเรือจะได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับเรือฟริเกตเพียง 1 ลำ ในงบประมาณปี 2569 แม้จะมีการเสนอขอมาเป็นคู่ก็ตาม โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ภูมิธรรม ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ปัญหาเรื่องเรือดำน้ำยังไม่ยุติ จึงส่งผลให้การจัดสรรงบประมาณสำหรับเรือฟริเกตต้องเป็นไปตามความพร้อมของรัฐบาลในขณะนี้ โดยคาดว่าจะสามารถสรุปประเด็นเรือดำน้ำได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งรวมถึงการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อตัดสินใจ และการแก้ไขสัญญาที่เกี่ยวข้อง
รองนายกรัฐมนตรีกลาโหมยอมรับว่า ฝ่ายนโยบายเห็นตรงกันว่ากองทัพเรือควรมีเรือฟริเกต 2 ลำ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณในปัจจุบัน จึงต้องจัดสรรให้ได้เพียง 1 ลำไปก่อน หากปัญหาเรือดำน้ำคลี่คลายลง ก็พร้อมจะพิจารณาการจัดซื้อลำที่สองในอนาคต
ภูมิธรรม ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนงบประมาณให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ทดแทนที่ประสบอุบัติเหตุตก โดยระบุว่า ได้ให้นโยบายในการจัดทำงบประมาณครั้งหน้าให้ความสำคัญกับการซ่อมแซมยุทโธปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายเป็นลำดับแรก เนื่องจากใช้เวลาดำเนินการน้อยกว่าการจัดซื้อใหม่ พร้อมเน้นย้ำถึงการร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตเพื่อรักษามาตรฐานและความรู้
สำหรับเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจที่ตกนั้น มีอายุการใช้งานมากว่า 52 ปี นับตั้งแต่เข้าประจำการในปี 2516 ซึ่งภูมิธรรม ยอมรับว่าอยู่ในสภาพที่เก่ามากและถึงเวลาต้องพิจารณาจัดซื้อใหม่ โดยนโยบายนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะตำรวจ แต่จะครอบคลุมถึงทุกเหล่าทัพที่มียุทโธปกรณ์เก่าและจำเป็นต้องได้รับการทดแทนหรือซ่อมแซม โดยให้ทุกหน่วยสำรวจความต้องการและเสนอเรื่องเข้ามา
เมื่อถูกถามย้ำว่า การจัดซื้อเรือฟริเกตได้เพียง 1 ลำ จะเหลืองบประมาณไปใช้ในการอัปเกรดเรือลำอื่นหรือไม่ ภูมิธรรม ตอบอย่างชัดเจนว่า ไม่มีงบประมาณเหลือไปใช้ในการอัปเกรดเรือลำอื่น เนื่องจากต้องนำไปใช้สำหรับการจ่ายเงินในส่วนของเรือดำน้ำ ซึ่งเป็นงบประมาณที่ไม่ได้ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม หลักการโดยรวมยังคงพยายามที่จะสนับสนุนการอัปเกรดเรือที่มีความจำเป็นอยู่แล้ว
