Free Solo คือสารคดีเจ้าของรางวัลออสการ์ ตามติด อเล็กซ์ ฮอนโนลด์ นักปีนเขาวัย 33 ปี กับ Mission Impossible พิชิตเอล แคพพิทัน (El Capitan) หน้าผาหินแกรนิตความสูง 3,200 ฟุต ด้วยสองมือสองเท้า โดยปราศจากอุปกรณ์ช่วยเหลือใดๆ
ความน่าสนใจของสารคดีเรื่องนี้คือภาพตอนที่อเล็กซ์พยายามทำทุกอย่างเพื่อพิชิตหน้าผาสูงชันให้สำเร็จ เหมือนเป็นภาพสะท้อนที่พาคนดูไปสำรวจ ‘ยอดเขา’ ในชีวิตจริงที่แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายและวิธีการบรรลุเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป
ถ้าลองถอดสมการหาตัวแปรช่วยส่งให้อเล็กซ์สามารถขึ้นไปเต้นรำบนหน้าผาแห่งความตายที่มีชีวิตเป็นเดิมพันได้สำเร็จ เราคิดว่ามีตัวแปรร่วมบางอย่างที่สามารถดึงแนวคิดของเขามาปรับใช้เพื่อเผชิญกับยอดเขาในชีวิตจริงที่สูงใหญ่ขนาดไหนก็ตาม
“ผมคิดถึงเอล แคพพิทัน มาหลายปี ทุกปี และคิดว่าน่ากลัวชะมัด” สิ่งที่หนึ่งอเล็กซ์บอกให้คนดูรู้คือ หากคิดจะเอาชนะอะไรสักอย่าง เราต้องรู้จักสิ่งนั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง สำหรับนักปีนเขาฟรีโซโลที่มีความตายหายใจรดต้นคอใส่ตลอดเวลา ความกลัวไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาพิจารณาถึงสิ่งนั้นอย่างถี่ถ้วนที่สุด
เทคนิคที่เขาใช้ไม่ใช่การสะกดจิตตัวเองด้วยคำว่า “ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปกลัวมันสิ” ตรงกันข้าม เขาไม่เคยคิดว่าความกลัวเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ สิ่งที่เขาทำคือพาตัวเองไปหาความกลัวให้มากที่สุด เขาออกไปปีนเขา (แบบมีเชือก) แม้กระทั่งในวันที่ขายังเจ็บ ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แน่นอนว่าความกลัวจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกครั้งที่มือและเท้าของเขาหลุดจากหน้าผา
ถึงแม้ไม่อาจเอาชนะ แต่เขาก็ยังทำอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งความกลัวเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แต่ไม่ใช่ในฐานะสิ่งที่มาหยุดยั้งความตั้งใจ แต่เป็นความกลัวเพื่อเตือนตัวเองให้รู้ว่าเอล แคพพิทัน นั้นน่ากลัว และเขาจะต้องเอาชนะมันให้ได้
รายละเอียดคือพระเจ้าที่ช่วยเอาชนะความกลัว
คำว่า ‘ระห่ำ’ คือหนึ่งในนิยามที่ใช้อธิบายตัวตนของมนุษย์ที่พยายามปีนหน้าผาหินแกรนิตสูงเกือบ 1 กิโลเมตรได้ดีที่สุด กับอเล็กซ์ก็เป็นแบบนั้น แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างจากคำนิยามทั่วไปคือเขาเป็นคนระห่ำที่ ‘รอบคอบ’
เขาเริ่มต้นจากการลองปีนเขาให้มากสุด (ก่อนหน้านี้เคยพิชิตเอล แคพพิทัน แบบมีเชือกมาแล้ว 40 ครั้ง) เพื่อหาว่าจุดไหนอันตรายต่อการปีนมากที่สุด เมื่อรู้แล้วก็พาตัวเองไปตรงนั้นซ้ำๆ เพื่อค้นหาวิธีที่ง่ายที่สุด เขาไม่เคยปล่อยให้ความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยเล็ดลอดไปจากสายตา เพื่อค้นหาวิธีการที่ปลอดภัยบนเส้นทางที่อันตรายที่สุด และมองหาความเป็นเลิศจากทุกสิ่งที่ตัดสินใจทำอยู่เสมอ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราประทับใจมากๆ คืออเล็กซ์จดรายละเอียดทุกอย่างในการปีนเขาทุกครั้งอย่างละเอียดที่สุด ตั้งแต่เวลาที่แสงแดดส่องผ่าน ช่วงไหนของหน้าผาที่อันตราย องศาของเหลี่ยมผาที่ผิดปกติ จุดวางมือและเท้าที่เล็กไม่กี่เซนติเมตร ไปจนถึงลำดับการเคลื่อนมือและเท้าที่ซับซ้อน รวมทั้งการออกแรงที่เหมาะสม บางครั้งเขาอาจต้องเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่า 10 ขั้นตอนเพื่อขยับระยะตัวเองบนหน้าผาไปแค่ไม่กี่ช่วงตัว
หากแต่ในความละเอียดนั้น อเล็กซ์เลือกที่จะไม่พรรณนาถึงความสวยงามที่ได้เห็น ไม่มีการพร่ำเพ้อถึงครอบครัวหรือคนรัก ถ้าดูในสมุดบันทึกของเขาจะพบว่ามีแต่ตัวหนังสือยึกยือที่เต็มไปด้วยตัวเลขและเทคนิคเต็มไปหมด เพราะในเวลานั้นความรักหรือความสวยงามจะสำคัญอย่างไร เมื่อเทียบกับการพิชิตยอดเขาที่มีความตายอ้าแขนรออยู่เบื้องล่าง
ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก และนำออกมาใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ถึงแม้จะไม่จดความรู้สึกลงในสมุดบันทึก แต่เขาก็ไม่ใช่มนุษย์ที่ไร้หัวใจ ในทางตรงกันข้าม อเล็กซ์คือมนุษย์ที่ ‘ซื่อสัตย์’ กับความรู้สึกของตัวเองมากที่สุดคนหนึ่งด้วยซ้ำไป
เริ่มตั้งแต่ตอนเด็กที่เข้ากับเพื่อนที่โรงเรียนไม่ได้ เพราะเรียนและคุยกับใครไม่เก่ง เขาก็เลือกใช้เวลาไปกับการปีนเขาโดยไม่สนว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร พอโตขึ้นมาอีกหน่อยก็ยอมนอนบนรถตู้ในลานจอดรถของซูเปอร์มาร์เก็ต (ทุกวันนี้ก็ยังใช้ชีวิตบนรถบ้านเป็นส่วนใหญ่) มีเงินกินอาหารมื้อละไม่เกิน 30 บาท เพื่อให้ตัวเองสามารถทำในสิ่งที่เขารักได้ต่อไป
อีกหนึ่งประโยคที่น่าสนใจใน Free Solo คือตอนที่อเล็กซ์พูดว่า “ผมอยากสนุกในช่วงที่ผมสนุก ไม่ใช่ต้องมีคนมาบอกว่าช่วงเวลานี้ควรสนุกแล้วถึงจะสนุกได้” พร้อมกับนั่งเงียบๆ ทำหน้าเซ็งๆ ในขณะที่คนอื่นๆ ตื่นเต้นกับการฉลองเทศกาลฮาโลวีน ซึ่งตัดภาพกลับไปจะเห็นว่าสีหน้าและแววตาของเขาจะเป็นประกายมากกว่านี้เมื่อเคลื่อนตัวไปบนระนาบของหน้าผาที่หลายคนตั้งคำถามว่าเขาจะทำสิ่งเหล่านั้นไปทำไม
กระทั่งเรื่องความรัก เขาก็สารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาเลือกการปีนเขามากกว่าผู้หญิงทุกคนอยู่เสมอ แถมยังยอมรับว่าอยากเลิกกับ ซานนี่ แฟนสาวคนปัจจุบัน จากความผิดพลาดของเธอที่ทำให้เขาบาดเจ็บ และยังเคยคิดว่าเธอคือสาเหตุที่ทำให้เขาหลุดโฟกัสจากการปีนเขาหลายๆ ครั้ง
และเหตุการณ์สำคัญที่สุดคือตอนเริ่มปีนเอล แคพพิทัน แบบฟรีโซโลครั้งแรก ที่ถึงแม้จะคำนวณทุกอย่างมาเป็นอย่างดี แต่อยู่ๆ เขาก็เลิกล้มกลางคัน ทั้งๆ ที่จุดที่เขายืนอยู่ไม่ใช่จุดที่น่ากลัวอะไรด้วยซ้ำ
เขาเลือกเชื่อ ‘ความรู้สึก’ ที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ทั้งที่อาจพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต และเราเชื่อว่านั่นคือการตัดสินใจที่ดีที่สุดของเขา เพราะไม่อย่างนั้นเราอาจได้เห็น Free Solo เป็นสารคดีอีกรูปแบบหนึ่งที่ปราศจากภาพความสำเร็จของเขาในวันที่กลับมาพิชิตเอล แคพพิทัน ได้สำเร็จก็เป็นได้
ชื่นชมชัยชนะอันยิ่งใหญ่ด้วยความเรียบง่าย
ไม่มีการปักธง ไม่มีการตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี มีเพียงประโยคสั้นๆ “มันวิเศษมากจริงๆ” ที่อเล็กซ์อธิบายความรู้สึกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลังจากใช้เวลา 3 ชั่วโมง 56 นาทีในการต่อสู้กับผาหินแกรนิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้สำเร็จ ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มาคุยกับแฟนสาวราวกับภารกิจที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงเหตุการณ์ธรรมดาในชีวิตประจำวัน
สำหรับคนที่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการปีนเขาอย่างอเล็กซ์ ทุกวินาทีบนหินผาคงให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการกินอาหารมื้อหนึ่งที่ต้องทำเป็นเรื่องปกติ การพิชิตเอล แคพพิทัน ได้สำเร็จก็เหมือนได้กินอาหารที่อร่อยกว่ามื้ออื่นๆ ที่เมื่อกินเสร็จเขาก็เพียงแค่รับรู้ถึงความยินดี แต่ไม่ยึดติดว่านั่นคือสิ่งสูงสุดในชีวิต เพราะยังมีอาหารจานอร่อยอีกมากมายที่รอให้เขาได้ไปลิ้มรสอยู่เสมอ
ลองนึกถึงสิ่งที่เราอยากทำเป็นอย่างต่อไปหลังจากเพิ่งทำอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ ได้สำเร็จ ต่างคนคงมีวิธีการเฉลิมฉลองและให้รางวัลกับตัวเองที่แตกต่างกันออกไป
แต่สำหรับอเล็กซ์ เขาเลือกที่จะกลับไปยังรถตู้คันเก่า โหนบาร์ออกกำลังกายเตรียมความพร้อมเพื่อค้นหายอดเขาที่จะเป็น ‘ฟลอร์’ ให้เขาได้เต้นระบำบนหน้าผาแห่งความตายครั้งต่อไปเท่านั้นเอง
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์