×

‘แลมพาร์ด VS อาร์เตตา’ ใครจะได้แชมป์เอฟเอคัพเป็นใบแรกในชีวิตการคุมทีม?

01.08.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MINS. READ
  • คู่ชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในปีนี้นอกจากจะเป็นทีมร่วมเมืองที่มาเปิดศึกดาร์บีแมตช์กันแล้ว ทั้งอาร์เซนอลและเชลซีต่างเป็นสองทีมที่น่าจับตามองสำหรับอนาคต จากผู้จัดการทีมที่เป็นคนรุ่นใหม่ทั้งคู่
  • ลูกทีมกันเนอร์สเริ่มตอบสนองต่อสิ่งที่นายใหญ่อย่าง มิเกล อาร์เตตา เรียกร้อง และนำไปสู่ชัยชนะเหนือสองทีมที่ดีที่สุดของประเทศอย่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้
  • แฟรงก์ แลมพาร์ด นอกจากจะทำทีมเล่นได้สนุกตื่นเต้นแล้ว ยังรักจะเรียนรู้และไม่กลัวที่จะต้องเปลี่ยนแปลงหากพบว่าทีมทำได้ไม่ดีตรงจุดไหน

 

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจบไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วก็จริง แต่ฟุตบอลอังกฤษยังไม่ได้รูดม่านปิดฉากแต่อย่างใด เนื่องจากยังเหลือการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ ที่ถือเป็นรายการสุดท้ายของฤดูกาลลูกหนังที่แสนยาวนานและหนาวเหน็บของเมืองผู้ดี

 

แน่นอนว่าในโรคระบาดที่เกิดขึ้น ทำให้นัดชิงเอฟเอคัพในปีนี้มีอะไรที่แปลกและแตกต่างจากเดิมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำหนดการแข่งขันที่เลื่อนจากปลายเดือนพฤษภาคมมาเป็นต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งความจริงแล้วควรจะเป็นช่วงเวลาสำหรับการแข่งขันฟุตบอลคอมมิวนิตี ชิลด์ ที่ใช้เป็นการเปิดฉากฤดูกาลใหม่มากกว่า

 

รวมถึงการที่แฟนฟุตบอลจะไม่สามารถเข้ามาชมในสนามเวมบลีย์อันยิ่งใหญ่ได้แม้แต่คนเดียว และทำให้บรรยากาศภายในเมกกะลูกหนังที่มีความจุเฉียดแสนคนแห่งนี้จะไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย

 

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามจะไม่น่าสนใจ

 

ในทางตรงกันข้าม คู่ชิงชนะเลิศในปีนี้นอกจากจะเป็นทีมร่วมเมืองที่มาเปิดศึกดาร์บีแมตช์กันแล้ว ทั้งอาร์เซนอลและเชลซีต่างเป็นสองทีมที่น่าจับตามองสำหรับอนาคต

 

ที่ต้องบอกเช่นนี้ เพราะทั้งสองสโมสรกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านและพยายามจะกลับมายืนอยู่แถวหน้าของวงการอีกครั้ง ภายใต้การนำของ 2 ผู้จัดการทีมที่เป็นกลุ่มสายเลือดใหม่ที่มีความโดดเด่นและน่าจับตามองที่สุดอย่าง มิเกล อาร์เตตา และ แฟรงก์ แลมพาร์ด

 

การพบกันในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นผู้ชนะในเกมนี้ ก็จะได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์ใบแรกในชีวิตทันทีตั้งแต่ในฤดูกาลแรกของการทำงานในฐานะนายใหญ่ของสโมสรพรีเมียร์ลีก

 

เป็นการเดิมพันที่ชวนน่าติดตามไม่น้อย

 

 

อาร์เตตากับปืนใหญ่หัวใจนักสู้

ตัวเลขอันดับตารางในพรีเมียร์ลีกอาจจะไม่สวยงามนัก แต่ผลงานในช่วงหลังของทีม ‘ปืนใหญ่’ ถือว่าเข้าตาไม่น้อย

 

โดยเฉพาะชัยชนะ 2 นัดเหนือสองทีมที่ดีที่สุดในประเทศอย่าง ลิเวอร์พูล ในศึกพรีเมียร์ลีก และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกเอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ ซึ่งเป็นเกมที่อาร์เซนอลภายใต้การนำของอาร์เตตาแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาเคยถูกวิจารณ์มาโดยตลอดว่าขาดแคลนคุณสมบัติเหล่านี้

 

สิ่งดังกล่าวคือความอึด ความเป็นนักสู้ การปราศจากความกลัว และความทนทายาดแบบ You Shall Not Pass ที่จะไม่ยอมให้คู่แข่งผ่านเข้าไปทำประตูได้เด็ดขาด

 

ใน 2 นัดที่ชนะลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาตกเป็นรองในเรื่องของการครองบอลที่ได้เพียง 31 และ 35 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ แต่อาร์เตตาก็หาหนทางทำให้ทีมเอาชนะจนได้ โดยเฉพาะสถิติที่น่าสนใจคือ ในเกมที่ชนะแชมป์อย่าง ‘หงส์แดง’ พวกเขาชนะในเรื่องสถิติการวิ่งรวมกันทั้งทีมที่ 112.1 กิโลเมตร มากกว่าลิเวอร์พูลของ เจอร์เกน คล็อปป์ ซึ่งปกติขึ้นชื่อในเรื่องของสถิติการวิ่งที่ทำได้เพียง 108.1 กิโลเมตร

 

นั่นสะท้อนให้เห็นถึงการที่ลูกทีมกันเนอร์สเริ่มตอบสนองต่อสิ่งที่นายใหญ่อย่างอาร์เตตาเรียกร้อง เสียงของกุนซือชาวสเปนเริ่มเข้าไปในหัว และความเร่าร้อนถูกถ่ายทอดผ่านไปถึงหัวใจ ที่ทำให้แม้แต่แฟนๆ เองก็สัมผัสได้ว่าเวลานี้นักเตะอาร์เซนอลแตกต่างจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

พวกเขากลับมาเล่นกันอย่างทีมที่มีหัวใจอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ดี การจะชนะทีม 2 อันดับแรกของประเทศได้ ลำพังหัวใจมันไม่พอ สิ่งที่ทำให้พวกเขาเอาชนะได้คือการวางแผนของอาร์เตตาที่สามารถสยบคล็อปป์ และที่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่คือ การชนะ ‘ครู’ อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้

 

อาร์เซนอลในเวลานี้เล่นได้หลากหลายรูปแบบ แต่ที่เด่นขึ้นมาคือเกมรับที่เคยเป็นจุดอ่อนก็เริ่มเหนียวแน่นขึ้น ส่วนแนวรุกมีตัวผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว

 

 

แลมพาร์ด ปราชญ์ลูกหนังรุ่นใหม่

นี่อาจเป็นเพียงการทำงานในฤดูกาลที่สองของ แฟรงก์ แลมพาร์ด และเป็นฤดูกาลแรกในทีมใหญ่บนลีกสูงสุด แต่ดูเหมือนว่าอดีตกองกลางระดับตำนานจะสอบผ่านฉลุยในเรื่องของการทำงาน

 

เชลซีภายใต้การนำของ ‘แลมพ์’ กลับมาเป็นทีมที่เล่นได้อย่างน่าดูชม มีเสน่ห์ และที่สำคัญคือเรื่องผลงานที่จับต้องได้ว่าดีขึ้นจริงๆ ทั้งๆ ที่เงื่อนไขในการทำงานฤดูกาลนี้นั้นยากมหาหิน ไม่ว่าจะเป็นการที่พวกเขาเสียคีย์แมนอย่าง เอเดน อาซาร์ ไปให้กับเรอัล มาดริด และการที่ไม่สามารถซื้อผู้เล่นมาเสริมทัพได้ด้วย

 

แต่กุนซือวัย 42 ปีก็สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมดาวรุ่งอย่าง แทมมี อับราฮัม, เมสัน เมาท์, ฟิกาโย โทโมรี, บิลลี กิลมัวร์ และอีกหลายคนให้ขึ้นมาได้รับโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองในทีมชุดใหญ่หลังไม่เคยได้รับโอกาสแบบนี้มาก่อน

 

ขณะเดียวกันก็สามารถดึงศักยภาพของแข้งจอมเก๋าอย่าง วิลเลียน, เปโดร โรดริเกซ, จอร์จินโญ, มาร์กอส อลอนโซ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ให้ช่วยประคับประคองทีมจนไปได้ตลอดรอดฝั่ง 

 

และผลงานชิ้นโบแดงล่าสุดคือการปลดล็อกให้ คริสเตียน พูลิซิช สตาร์ทีมชาติสหรัฐอเมริกา ที่ประสบปัญหาการปรับตัวและอาการบาดเจ็บรังควานจนเหมือนอาจจะไปไม่รอด แต่เวลานี้คือกองหน้าที่อันตรายและต้องจับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง

 

โดยที่ในฤดูกาลหน้าแลมพาร์ดจะได้ตัวรุกขั้นเทพอย่าง ฮาคิม ซิเยค และ ติโม แวร์เนอร์ เข้ามาเสริมทีม และหากไม่ผิดคาด จะมีชื่อของ ไค ฮาเวิร์ตซ์ นักเตะดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุดของเยอรมนีมาด้วยอีกราย

 

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการผู้เล่นของแลมพาร์ดที่ทำได้อย่างดี ความเป็นคนตรงไปตรงมาทำให้ผู้เล่นประทับใจ และต่อให้อาจจะไม่คิดร่วมงานกันในระยะยาวเหมือนเปโดร ที่จะอำลาทีมหลังจบเกมที่เวมบลีย์แต่อย่างน้อยนักเตะเหล่านี้ก็พร้อมจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่

 

ไม่นับเรื่องมันสมองในการวางแผนแก้เกม ซึ่งแลมพาร์ดแสดงให้เห็นตลอดฤดูกาลที่ผ่านมาแล้วว่าไม่ธรรมดา และที่ไม่ธรรมดายิ่งกว่าคือความกล้าที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ

 

ยามที่กลหมากที่วางไว้ได้ผล นั่นถือว่าดี แต่หลายครั้งที่มันไม่ได้ผล สิ่งที่แลมพาร์ดทำคือการพยายามเรียนรู้และลองผิดลองถูกไปเรื่อยจนค้นพบคำตอบใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหา

 

สิ่งนี้คือความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวในตัวกุนซือเชลซี

 

 

นัดสุดท้ายของโอบาเมยอง?

นอกเหนือจากผู้จัดการทีมทั้งสองแล้ว เกมใหญ่ระดับนี้สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือเหล่าสตาร์ที่จะลงสนาม

 

สำหรับอาร์เซนอล นักเตะที่เป็นดาวเด่นที่สุดของทีมย่อมหนีไม่พ้น ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง ดาวยิงวัย 31 ปี ที่อนาคตกับสโมสรยังคลุมเครือว่าจะอยู่หรือย้ายออกจากทีมกันแน่ ทำให้มีการจับตามองว่าเกมนัดนี้จะเป็นนัดสุดท้ายของโอบาเมยองหรือไม่

 

เรื่องนี้อาร์เตตาตอบไม่ต้องคิดว่า “ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น” ก่อนจะขยายความต่อว่า “การคว้าแชมป์ได้มันจะทำให้คุณมีความเชื่อ ถ้าได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมและได้ชูถ้วยแชมป์มันจะช่วยได้มาก”

 

สำหรับ โอบาเมยอง ดาวยิงชาวกาบอง กำลังเผชิญช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะด้วยวัยแล้วเหลือเวลาไม่มากในการไล่ล่าหาความสำเร็จ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้มีข่าวการย้ายทีมในช่วงที่ผ่านมา เพราะอาร์เซนอลดูเป็นสโมสรที่ไม่มีอนาคต

 

แต่จากการที่ทีมกลับมาทำผลงานได้ดีในช่วงหลัง และการได้เข้าชิงเอฟเอคัพ ก็อาจมีส่วนช่วยให้กองหน้าที่เป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมในสองฤดูกาลหลังมั่นใจมากขึ้นที่จะอยู่กับทีมต่อไป ในยามที่โอกาสย้ายไปร่วมเล่นกับสโมสรระดับชั้นนำอื่นๆ ลดลงเพราะหลายทีมมีขุมกำลังที่ดีอยู่แล้ว และมีทีมที่มีปัญหาทางการเงินด้วยเช่นกัน

 

นอกจากนี้ชัยชนะในเกมนี้ยังอาจหมายถึงโควตาการไปรายการฟุตบอลสโมสรยุโรปอย่าง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ในฤดูกาลหน้า ซึ่งสำคัญกับสโมสรในเรื่องทางการเงินที่ประสบปัญหาอย่างหนักจากพิษโควิด-19 ด้วย

 

ถ้าโอบาเมยองนำทีมคว้าแชมป์ได้ นอกจากจะได้ชูถ้วย ได้ความมั่นใจ ทีมก็อาจจะมีเงินในการเสริมทัพเพิ่มขึ้น ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะยืม ฟิลิปป์ คูตินโญ มาจากบาร์เซโลนาสำหรับฤดูกาลหน้าด้วย

 

แต่หากพ่ายแพ้ ก็เป็นไปได้ที่อาจจะเป็นนัดสุดท้ายของเขากับอาร์เซนอลเช่นกัน

 

 

Joker ที่ชื่อพูลิซิช

ถึงแม้ว่าเชลซีจะมีสตาร์อยู่เต็มทีม แต่ในเวลานี้คนที่ถูกจับตามองมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นสตาร์ที่มาแรงสุดๆ อย่าง คริสเตียน พูลิซิช

 

เหตุผลเพราะฟอร์มการเล่นในช่วงหลังของอดีตดาวเตะดอร์ทมุนด์นั้นร้อนแรงเหมือนลาวาที่เผากองหลังทีมคู่แข่งจนวายวอดเป็นแถวๆ

 

ช็อตกระชากบอลฉีกแนวรับลิเวอร์พูลเป็นริ้วๆ ก่อนเปิดให้เพื่อนยิง และอีกครั้งที่ได้โอกาสในกรอบเขตโทษก่อนจะแต่งบอลและสังหารประตูอย่างใจเย็น ทำให้ทุกคนหายสงสัยว่าทำไมดาวเตะอายุแค่นี้ถึงมีค่าตัวในระดับนี้

 

สิ่งที่น่าสนใจและเป็นคำถามมากกว่าไม่ใช่เรื่องของคุณภาพฝีเท้า แต่เป็นสภาพร่างกายของพูลิซิชว่าจะฟิตแค่ไหนสำหรับเกมนี้ หลังจากที่ยังคงมีปัญหาอาการบาดเจ็บรังควานแม้จะเข้าช่วงท้ายของฤดูกาลแล้ว

 

แต่งานนี้ไอ้หนุ่มสายฟ้าฟาดวัย 21 ปียืนยันว่าสภาพร่างกายสมบูรณ์พร้อมลงสนามเต็มที่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแลมพาร์ดแล้วว่าจะเลือกตัดสินใจอย่างไร

 

ระหว่างการส่งเขาลงสนามตั้งแต่แรก หรือจะเก็บไว้เป็นไพ่เด็ดที่จะส่งลงมาในช่วงครึ่งหลังในยามที่กองหลังอาร์เซนอลอ่อนเปลี้ยเสียขากันหมดแล้ว

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

FYI
  • อาร์เตตาและแลมพาร์ด เป็นสองผู้จัดการทีมที่อายุน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกเวลานี้ โดยรายแรกจะอายุ 38 ปีกับอีก 128 วัน ขณะที่รายหลังเลขสวยอย่างมาก อายุ 42 ปี 42 วัน
  • นัดชิงเอฟเอคัพในปีนี้ถือเป็นนัดชิงครั้งที่ 139 
  • ชื่อรายการนัดชิงเอฟเอคัพปีนี้ถูกเปลี่ยนเป็น Heads Up FA Cup Final เพื่อรณรงค์ในเรื่องของการตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิต
  • ยังไม่แน่ชัดว่าแลมพาร์ดจะส่ง เกปา อาร์ริซาบาลากา ประตูมือหนึ่งที่ฟอร์มตกอย่างหนักจนโดนตัดจากทีมในเกมพรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายลง หรือจะให้ วิลลี กาบาเยโร ลง
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X