การประกาศเปิดตัวเงินดิจิทัล ‘ลิบรา’ (Libra) โดยองค์กร Libra Association (เฟซบุ๊กคือผู้ริเริ่มแนวคิด) ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา และเตรียมจะเริ่มเปิดให้ใช้งานจริงในช่วงปี 2020 นี้สร้างความกังวลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในหลายประเทศทั่วโลกพอสมควร
ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศล่าสุดที่ออกมาแสดงความกังวลที่มีต่อเงิน Stable Coin สกุลดังกล่าวว่าอาจจะกลายเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยทางการเงินของรัฐบาลได้ และจะพยายามสกัดกั้นทุกวิธีเพื่อไม่ให้ลิบราเข้ามาในยุโรปจนกว่าประเด็น ‘ความเสี่ยงที่ผู้บริโภคจะต้องเผชิญและการคุกคามอำนาจรัฐ’ จะได้รับการคลี่คลาย
บรูโน เลอ แมร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังฝรั่งเศส ได้กล่าวในระหว่างเข้าร่วมงานประชุมองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่จัดขึ้นในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นว่า
“ข้อกังวลที่มีต่อลิบราถือว่าร้ายแรงมาก ผมจึงต้องการความกระจ่างชัดเจนในเงื่อนไขเหล่านี้ (ความเสี่ยงของผู้บริโภคและการคุกคามอำนาจอธิปไตยรัฐ) มิฉะนั้นเราก็คงไม่สามารถอนุญาตให้ลิบราพัฒนาการใช้งานในยุโรป
“ลิบรายังสะท้อนถึงความเสี่ยงของระบบอีกด้วย โดยเฉพาะในวันที่คุณมีผู้ใช้งานมากกว่า 2 พันล้านคน เมื่อเกิดผลกระทบใดๆ ในเชิงการจัดการหรือการทำงานของสกุลเงินนี้ มันก็จะก่อให้เกิดการหยุดชะงักทางการเงินได้”
ด้าน วาเนสซา ม็อค โฆษกประจำคณะกรรมาธิการยุโรป ได้ออกมาเคลื่อนไหวรับท่าทีของฝรั่งเศสแล้วเช่นกัน โดยกล่าวว่าคณะกรรมาธิการฯ จะดำเนินการตรวจสอบลิบราในทุกๆ แง่มุมเพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาความกังวลที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การจัดเก็บภาษีและการปกป้องข้อมูลส่วนตัว ซึ่งตัวลิบราเองก็จะต้องได้รับการอนุญาตจากทางการยุโรปเสียก่อนจึงจะสามารถเข้ามาดำเนินการพัฒนาหรือให้บริการ
เช่นเดียวกับ Libra Association ที่จำเป็นจะต้องติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเทศหรือหน่วยงานที่ควบคุมมาตรการในระดับภูมิภาคยุโรป เพื่อให้ได้รับใบอนุญาตที่จำเป็นก่อนจะเริ่มเปิดตัวลิบราอย่างเป็นทางการในยุโรป
ถ้ายังจำกันได้ ไม่ใช่แค่ฝรั่งเศสหรือคณะกรรมาธิการยุโรปเท่านั้นที่วิตกกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากลิบรา เพราะแม้แต่ตัว โดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็เคยออกมากล่าวถึงมันในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ในสหรัฐฯ ‘ดอลลาร์’ จะเป็นเพียงสกุลเงินเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: