×

กมธ.มั่นคง จัดวงคุยสถานการณ์เมียนมา หวั่นเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลทหารไม่สะท้อนเจตจำนงประชาชน แนะไทยชวนนานาชาติหาทางคลายวิกฤต

โดย THE STANDARD TEAM
22.03.2025
  • LOADING...

วันนี้ (22 มีนาคม) ที่อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยองค์กรเครือข่าย ร่วมจัดงาน ‘Fostering Sustainable Peace and Security: Thailand and ASEAN’s Path towards Border Stability and Democracy’ การบ่มเพาะสันติภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืน: เส้นทางของไทยและอาเซียนสู่ความมั่นคงชายแดนและประชาธิปไตย 

 

โดยในช่วงเช้ามีวงเสวนาที่เกี่ยวกับกรณีปัญหาเมียนมาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงชายแดนไทย โดยมี รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ, พล.ท. ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และ พล.ต. วิทยา เสมาทอง ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหารบก ร่วมวงเสวนาดังกล่าว

 

โดยรังสิมันต์ระบุว่า ปัญหาในเมียนมามีความหลากหลาย ซับซ้อน และกินเวลายาวนาน โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารเป็นต้นมา ทั้งคลื่นผู้อพยพจากการสู้รบ ผู้หนีภัยทางเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่ามีผู้หนีภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทยมากถึง 7 ล้านคนหรือมากกว่านั้น นอกจากนี้สถานการณ์ในเมียนมายังนำมาซึ่งกิจกรรมผิดกฎหมายที่มากขึ้น ทั้งยาเสพติด สแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

 

และยังมีกรณีที่น่ากังวลล่าสุดคือกรณีที่จะมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในเมียนมาภายใต้การสนับสนุนของรัสเซีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศไทยและอาเซียน และอาจทำให้สถานการณ์ในภูมิภาคที่มีความขัดแย้งอยู่แล้วมีความซับซ้อนมากขึ้น

 

รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้เราไม่สามารถปล่อยสถานการณ์ในเมียนมาให้ดำเนินไปตามสภาพได้ แต่ต้องมีส่วนร่วมเข้าไปสนับสนุนเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา ซึ่งหนทางที่ดีที่สุดในการทำให้สถานการณ์ในเมียนมาดีขึ้นคือกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งควรต้องเริ่มต้นด้วยการให้ประชาชนชาวเมียนมามีอำนาจการตัดสินใจ และมีพื้นที่ปลอดภัยในการสร้างบทสนทนาหาทางออก ซึ่งเป็นหนทางที่ไม่ง่าย แต่สิ่งที่ประเทศไทยต้องไม่ทำเด็ดขาดคือการสนับสนุนกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น กระบวนการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งจะไม่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนชาวเมียนมาอย่างแท้จริงแน่นอน

 

ประเทศไทยควรเป็นตัวกลางผู้อำนวยความสะดวกในการสนับสนุนกระบวนการพูดคุยที่มากกว่านี้ระหว่างฝ่ายต่างๆ ในเมียนมา ซึ่งลำพังประเทศไทยฝ่ายเดียวทำไม่ได้ ต้องเชื้อเชิญประเทศต่างๆ ทั้งมหาอำนาจและประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาพูดคุยกัน แต่การที่ประเทศไทยจะมีบทบาทประสานงานเช่นนั้นได้ ประเทศไทยต้องสร้างความยอมรับจากประเทศต่างๆ ให้ได้เสียก่อนด้วย

 

รังสิมันต์ยังกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยเป็นประเทศกลางที่สามารถมีบทบาทริเริ่มการพูดคุยได้ แม้ในเวลานี้จะยังไม่มีโต๊ะ แต่ไทยก็สามารถเป็นผู้เริ่มตั้งโต๊ะได้ โดยยังไม่จำเป็นต้องดึงทุกฝ่ายมาร่วมเพื่อไม่ให้วงแตก เพราะมีหลายฝ่ายที่ยังไม่สามารถเข้าสู่การพูดคุยกันได้ ส่วนในระดับประเทศ นอกจากประเทศมหาอำนาจแล้วก็มีหลายประเทศที่ควรได้รับการเชิญให้มาร่วมเป็นผู้ริเริ่ม ทั้งมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ญี่ปุ่นซึ่งมีความสนใจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นต้น

 

ขณะเดียวกัน วิทยากรจากฝ่ายความมั่นคงทั้งสองได้รายงานถึงสถานการณ์ผลกระทบที่ความขัดแย้งในเมียนมาส่งผลถึงประเทศไทย และกลไกที่ประเทศไทยใช้ในการประสานความร่วมมือในการแก้ปัญหา รวมถึงวิเคราะห์สถานการณ์การสู้รบในเมียนมา โดยเห็นว่าสถานการณ์ในเวลานี้เป็นสภาวะชะงักงัน แม้ฝ่ายทหารเมียนมาจะถอนค่ายไปหลายค่าย แต่ฝ่ายชาติพันธุ์เองก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะรุกคืบอย่างเด็ดขาดได้ และคาดว่าสถานการณ์จะอยู่ในสภาวะชะงักงันเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อีกนาน 

 

ส่วนในเรื่องของปัญหาความมั่นคงที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยนั้น ผู้แทนฝ่ายความมั่นคงวิเคราะห์ว่าเนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงจึงไม่มีปัญหาด้านการสู้รบ ส่วนผลกระทบอื่นๆ ก็ยังอยู่ในข่ายที่ประเทศไทยสามารถรับมือได้

 

จากนั้นในช่วงบ่าย มีวงเสวนาว่าด้วยบทบาทของประเทศไทยที่สามารถทำได้ผ่านกลไกอาเซียนเพื่อมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ในเมียนมา โดยหนึ่งในวิทยากรร่วมวงเสวนา หว่องเฉิน ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ รัฐสภามาเลเซีย ได้กล่าวตอนหนึ่งถึงความน่ากังวลจากกรณีโครงการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมียนมา โดยระบุว่ากรณีดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ประเทศอาเซียนต้องร่วมกันปฏิเสธ อาเซียนควรเป็นภูมิภาคที่ปลอดนิวเคลียร์อย่างที่เป็นมา และพลังงานสะอาดก็มีทางเลือกอื่นอีกมากนอกจากพลังงานนิวเคลียร์ นอกจากนี้การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในพื้นที่สงครามยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

 

ทั้งนี้ บทบาทของอาเซียนในการแก้ไขสถานการณ์ในเมียนมาควรเริ่มต้นด้วยการแสดงเจตจำนงในการพูดคุยกับทุกฝ่าย รวมทั้งฝ่ายต่อต้านให้มีลักษณะทางการมากขึ้น นอกจากนี้ระหว่างที่กำลังรอการสู้รบให้คลี่คลายลง ประเทศอาเซียนต้องร่วมกันหยุดการไหลเวียนของอาวุธ การสนับสนุนทางการเงิน และการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในเมียนมาโดยเด็ดขาด พร้อมกับใช้เวลาระหว่างนี้ในการร่วมวางรากฐานในการหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเมียนมาในอนาคต

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising