ศึกฟอร์มูลาวัน (F1) ฤดูกาล 2021 จะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในสนามแรกที่บาห์เรน ในศุกร์ที่ 26 มีนาคมนี้ โดยฤดูกาลนี้นับเป็นปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากจากฤดูกาลที่แล้ว ทั้งการย้ายที่นั่งของนักแข่ง การปรับทีมใหม่ของเรซซิงพอยต์และเรโนลต์ การทดลองสิ่งใหม่ๆ ทั้งการที่ทีมฮาสตัดสินใจใช้รูกกี้ที่เพิ่งก้าวขึ้นมาจาก ฟอร์มูลาทู (F2) ทั้ง 2 คนในทีม รวมถึงการได้เห็น เซบาสเตียน เวทเทล กับทีมแอสตัน มาร์ติน และการกลับมาของ เฟร์นานโด อลอนโซ ในทีมอัลพีน
ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น THE STANDARD ขอนำพาทุกท่านไปดูความสำคัญของฤดูกาลนี้สำหรับแต่ละทีมกัน
เมอร์เซเดส แชมป์เก่าที่ประสบปัญหาการออกตัวตั้งแต่ก่อนฤดูกาลจะเริ่ม
ผลการทดสอบสนามเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก่อนฤดูกาลเริ่มต้น บ่งบอกอะไรได้หลายอย่างสำหรับฤดูกาลที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
แต่สำหรับทีมแชมป์เก่าอย่างเมอร์เซเดส เอเอ็มจี ผลการทดสอบสนามครั้งที่ ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์เก่า ได้อันดับที่ 5 ขณะที่ วัลท์เทอรี บอททาส จบอันดับที่ 16 ได้บ่งบอกพวกเขาว่า เขากำลังจะพบเจอกับปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขก่อนฤดูกาลเริ่มขึ้น
The @Aramco Pre-Season Test in Bahrain has officially come to an end 🇧🇭@Max33Verstappen was the fastest overall, with a lap time of 1:28.960 🚀#F1 #F1Testing @redbullracing pic.twitter.com/wwcDMCYYoZ
— Formula 1 (@F1) March 14, 2021
ผลการทดสอบสนามบาห์เรนเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา
“ตอนนี้เรายังไม่รู้อะไรหลายๆอย่าง” เจมส์ วาล์ ผู้อำนวยการด้านยุทธศาสตร์ของทีมเมอร์เซเดส กล่าวหลังจบการทดสอบสนาม ซึ่งทีมเมอร์เซเดสประสบปัญหาทั้งด้านการทำความเร็วและความคงเส้นคงวา
“ไม่มีใครใน Paddock สามารถชี้ให้เห็นจุดที่ต้องแก้ไขได้เลย แต่ตอนนี้เราได้เห็นเทรนด์อะไรบางอย่าง เรดบูลล์เป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีมาก พวกเขามีประสิทธิภาพจริงๆ
“เราจะมีฤดูกาลที่สูสีกันมากๆ ไหมน่ะเหรอ ผมว่าน่าจะใช่ เรดบูลล์เป็นคู่แข่งที่ดุดัน พวกเขามีทีมที่แข็งแกร่งและรวดเร็วมากๆ”
ปัญหาของเมอร์เซเดสมีทั้งปัญหาระบบเกียร์ระหว่างการทดสอบสนาม โดยเราได้เห็นรถของ ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก 7 สมัย หมุนถึง 2 ครั้งภายในการทดสอบทั้ง 2 วัน ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักกับนักแข่งที่ทำสถิติแชมป์โลกมากที่สุดตลอดกาลเทียบเท่ากับ มิชาเอล ชูมัคเกอร์
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทีมเมอร์เซเดสและนักแข่งอย่างแฮมิลตันและทีมบอสอย่าง โตโต วูลฟ์ ไม่ได้คว้าแชมป์ 7 สมัยด้วยการที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ และความท้าทายที่เกิดขึ้น ดังนั้นผลของการทดสอบสนามแรกและผลการแข่งขันจึงไม่สามารถบอกได้ว่าเมอร์เซเดสจะไม่ใช่เต็งแชมป์ของฤดูกาลนี้
“ผมไม่เสียเวลากับความกังวล นั่นทำให้คุณเสียสมาธิจากการหาทางแก้ไข เป็นเรื่องดีที่เราเจอปัญหาตอนนี้ เพื่อที่จะช่วยให้เรามีการแข่งขันที่ราบรื่น นี่เป็นช่วงเวลาที่เพอร์เฟกต์ในการพบเจอกับปัญหา” แฮมิลตันกล่าวถึงผลการทดสอบสนามของทีม
“ไม่มีใครกังวลและกลัว เราคือทีมแชมป์หลายสมัย และเรารู้ดีว่าต้องร่วมมือกันอย่างไรเพื่อที่จะโฟกัสในหน้าที่ของเรา”
เรดบูลล์ล์ เรซซิง ปีที่ดีพอจะล้มแชมป์เก่า?
นับตั้งแต่ปี 2010 ที่ผ่านมา มีเพียงเรดบูลล์ล์ เรซซิง และเมอร์เซเดส เท่านั้นที่สามารถคว้าแชมป์ประเภททีมได้สำเร็จ โดยเป็นเรดบูลล์ล์ที่คว้าแชมป์ตั้งแต่ปี 2010, 2011, 2012 และ 2013 ก่อนที่ทีมเมอร์เซเดสจะครองแชมป์ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
หากถามว่านักแข่งที่ร้อนแรงที่สุดนอกจากทีมเมอร์เซเดสก็จะมีเพียง แม็กซ์ แวร์สเตปเปน นักแข่งเบอร์หนึ่งของทีมเรดบูลล์ล์ ที่มักจะยึดครองตำแหน่งแถวหน้าหรือแถวสองในกริดตำแหน่งการออกสตาร์ทในแต่ละสนาม จนถึงการก้าวขึ้นไปบนโพเดียมร่วมกับสองนักแข่งจากเมอร์เซเดส
แต่ที่ผ่านมานักวิเคราห์หลายคนมักจะมองว่า ปัญหาของทีมอยู่ที่นักแข่งคนที่ 2 ของทีม ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง แดเนียล ริคาร์โด, ปิแอร์ กาสลีย์ จนถึง อเล็กซ์ อัลบอน ต่างถูกมองว่าจะไม่สามารถเป็นกำลังสนับสนุนแม็กซ์ในการต่อสู้ และขึ้นไปท้าทายทีมเมอร์เซเดสได้ดีเท่าที่ควรในฐานะทีมรองแชมป์
ปีนี้เรดบูลล์ได้ตัดสินดึงนักขับอย่าง เซร์คิโอ เปเรซ ที่จบฤดูกาลที่แล้วในอันดับที่ 4 ของตารางคะแนนนักแข่ง มาร่วมทีมในฤดูกาลนี้
การร่วมงานกันของเปเรซและแม็กซ์ถูกจับตามองจากหลายฝ่าย เนื่องจากเปเรซมีประสบการณ์ใน F1 มากกว่านักแข่งที่จับคู่กับแม็กซ์หลายคนในอดีต
ดังนั้นผลงานของเปเรซในปีนี้จะเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจต่างๆ ในอดีตของทีมเรดบูลล์เป็นสิ่งที่แก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุดจริงหรือไม่
เนื่องจากเราได้เห็น ปิแอร์ กาสลีย์ ที่เคยประสบปัญหาต่างๆ ในฐานะนักแข่งร่วมทีมของแม็กซ์ กลับมาเฉิดฉายในทีมอัฟฟา ทูรี ทีมที่เป็นเหมือนพื้นที่ F1 สำหรับรูกกี้ของเรดบูลล์ อะคาเดมี ในอดีต ด้วยการคว้าแชมป์ที่มอนซาเมื่อปี 2020
รวมถึงการที่เรดบูลล์ตัดสินใจซื้อเทคโนโลยีเครื่องของฮอนด้ามาก่อตั้งแผนกเครื่องยนต์ทีมของเรดบูลล์เองในปี 2022 หลังจากที่ฮอนด้าตัดสินใจยุติการสนับสนุนเครื่องยนต์ของทีมเรดบูลล์หลังฤดูกาล 2021
ซึ่งหากทีมประสบความสำเร็จ อาจเป็นโมเดลการทำธุรกิจและผู้สนับสนุนที่หลายทีมในศึก F1 อาจเลือกใช้ทำตามในอนาคต
ยูกิ ซึโนดะ, นิกิตา มาเซปิน และ มิค ชูมัคเกอร์ สามรูกกี้ที่พร้อมประกาศศักดาในศึก F1
ยูกิ ซึโนดะ กลายเป็นนักแข่งญี่ปุ่นคนแรกรอบ 7 ปีของศึก F1 หลังจากที่ได้รับการโปรโมตขึ้นมาสู่ทีมอัลฟา ทูรี ในฤดูกาล 2021 และเขาได้สร้างชื่อทันทีในการทดสอบสนามที่บาห์เรนเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยการทำเวลาดีที่สุดเป็นอันดับที่ 2 แซงหน้า ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์เก่า และเป็นรองเพียงแค่ แม็กซ์ แวร์สเตปเปน รุ่นพี่ในทีมเรดบูลล์ที่คว้าอันดับที่ 1 ไปครอง
ยูกิเกิดเมื่อปี 2000 และเป็นนักแข่งวัย 20 ปี ซึ่งนับเป็นอายุที่น้อยที่สุดในฤดูกาลนี้ หลังผ่านการลงสังเวียน F2 มาเพียงปีเดียวกับทีมคาร์ลินเมื่อปี 2020
แต่หนึ่งปีของเขาในศึก F2 ยูกิสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งการคว้าแชมป์ 3 สนาม ขึ้นโพเดียม 7 ครั้ง และการออกสตาร์ทตำแหน่งโพลถึง 4 ครั้ง ทำให้เขาได้รับการวางใจจากทีมอัลฟา ทูรี ในฤดูกาลนี้ และน่าจะเป็นหนึ่งในนักแข่งรูกกี้ที่ร้อนแรงที่สุดในฤดูกาลนี้
ตัดมาที่ทีมฮาส ในปี 2021 การตัดสินใจของทีมนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นใน F1 ด้วยเปิดที่นั่งทั้ง 2 ตำแหน่งให้กับนักแข่งรูกกี้จาก F2 ทั้งสองคน
หนึ่งในนั้นคือ มิค ชูมัคเกอร์ นักแข่งที่ถูกจับตามองมากที่สุดก็ว่าได้
แชมป์ F2 ฤดูกาลที่แล้วมาพร้อมกับตำนานให้สานต่อด้วยการที่เขาเป็นลูกชายของ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ตำนานแชมป์ 7 สมัยของ F1
ขณะที่ นิกิตา มาเซปิน ไม่ใช่ทีมจูเนียร์ของเฟอร์รารี แต่พ่อของเขาเป็นเศรษฐีและผู้สนับสนุนทีมฮาสจากรัสเซีย ซึ่งในฤดูกาลนี้ทีมก็ได้ปรับสีของรถแข่งใหม่ให้มีโทนสีของผู้สนับสนุนจากรัสเซียมากขึ้น
ซึ่งนักแข่งทั้งสองมีบททดสอบสำคัญที่รอคอยพวกเขาอยู่โดย มิค ชูมัคเกอร์ มีบทพิสูจน์สำคัญที่เขาต้องแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเดินตามรอยความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่พ่อของเขาเคยสร้างไว้ในอดีต ขณะที่ นิกิตา มาเซปิน ต้องแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นมากกว่านักแข่งที่ดึงดูดผู้สนับสนุนให้กับทีม
สีใหม่ ความหวังใหม่? เซบาสเตียน เวทเทล กับทีมแอสตัน มาร์ติน และ อัลพีน เอฟวัน ทีม กับ เฟร์นานโด อลอนโซ
เกือบทุกโพลที่เว็บไซต์ต่างๆ เปิดให้โหวตโทนสีรถแข่งใหม่จากทีม F1 ในฤดูกาล 2021 ที่แฟนกีฬาชื่นชอบมากที่สุด สีของทีมแอสตัน มาร์ติน ที่มาในโทนสีเขียว British Racing Green และ อัลพีน เอฟวัน ทีม ที่ปรับลุคจากทีมเรโนลต์สีเหลืองมายังสีน้ำเงิน มักจะเป็นสองสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ไม่เพียงแค่การปรับผู้สนับสนุนและโทนสีใหม่ของทีม แต่ทั้งสองทีมที่เปลี่ยนจากฤดูกาล 2020 ทั้งการปรับของเรซซิงพอยต์สีชมพูมาเป็นแอสตัน มาร์ติน สีเขียว และเรโนลต์สีเหลืองมาเป็นอัลพีน เอฟวัน ทีม สีน้ำเงิน พวกเขาต่างได้นักแข่งดีกรีแชมป์ F1 มาร่วมทีมด้วยกันทั้งคู่
เริ่มจากทีมแอสตัน มาร์ติน ที่ได้แชมป์ 4 สมัย อย่าง เซบาสเตียน เวทเทล จากเฟอร์รารี มาร่วมทีม ปีนี้เวทเทลที่นับเป็นนักแข่งที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะพาทีมคว้าแชมป์ในแต่ละสนามได้ จะได้รับโอกาสเริ่มต้นใหม่หลังจากช่วงเวลาที่ยากลำบากกับทีมเฟอร์รารีปีที่ผ่านมา
การมาร่วมงานกับทีมที่เพิ่งปรับลุคใหม่นับเป็นสถานการณ์ที่ดีสำหรับเวทเทลที่ต้องการเริ่มต้นใหม่ โดยการร่วมงานกับ แลนซ์ สโตรลล์ ที่หลายคนมองว่ายังไม่ใช่นักแข่งที่ครบเครื่อง จะช่วยให้เวทเทลลดความกดดันลงและสามารถหาทางทำความเร็วได้เหมือนในอดีต
ในขณะเดียวกันหาก แลนซ์ สโตรลล์ สามารถเอาชนะเวทเทลได้ เขาก็จะสามารถเอาชนะข้อครหาที่บางคนมองว่าสาเหตุที่เขายังคงมีที่นั่งใน F1 เนื่องจากพ่อของเขาเป็นเจ้าของทีม
ข้ามมาที่ฝั่งของอัลพีน เอฟวัน ทีม นับเป็นการคืนสังเวียนของ เฟร์นานโด อลอนโซ เจ้าของแชมป์โลก 2 สมัย ซึ่งเขาก็เป็นอีกหนึ่งนักแข่งที่หลายคนจับตามอง เนื่องจาก อลอนโซในวัย 39 ปีที่หายไปจากสังเวียนถึง 2 ฤดูกาล และมีไทเทเนียมฝั่งในกรามของเขาหลังประสบปัญหาจากจักรยาน จะยังสามารถแข่งขันนักแข่งรุ่นใหม่ที่ครองสังเวียนในยุคปัจจุบันได้หรือไม่
เนื่องจากในอดีต แม้กระทั่งนักแข่งระดับตำนานอย่าง มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ที่กลับมาลงแข่งขันในช่วงท้ายให้กับทีมเมอร์เซเดสในปี 2010-2012 ในวัย 41 ปี หลังจากหายไปจากสังเวียนถึง 3 ปี เขาพบเจอกับปัญหาการพยายามเอาชนะนักแข่งรุ่นน้องอย่าง นิโก้ รอสเบิร์ก
แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือความสัมพันธ์กับ เอสเตบัน โอคอน นักแข่งรุ่นน้องภายในทีมของอลอนโซ เนื่องจากในอดีตอลอนโซเคยขาดสมาธิกับการแข่งขัน หลังจากที่ถูกกดดันอย่างหนักจาก ลูอิส แฮมิลตัน ในทีมแมคราเลน เมื่อปี 2007 ซึ่งส่งผลให้เขามีปัญหากับทีมจนต้องย้ายออกหลังจากร่วมงานกันเพียงฤดูกาลเดียว
ซึ่งฤดูกาล 2021 จึงขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารทีมของ โลร็องต์ รอสซี ว่าจะสามารถจัดการความรู้สึกระหว่างการแข่งขันของนักแข่งได้ดีแค่ไหน และอลอนโซจะเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตและรักษาสมาธิกับการแข่งขันได้ดีขนาดไหน
เฟอร์รารีกับฤดูกาลที่ต้องกลับมาให้ได้
𝙁𝙇𝘼𝙎𝙃𝘽𝘼𝘾𝙆 🔥
This is too good not to share 😍
The #SF21 is ready for the 2021 #F1 season, are you?#essereFerrari 🔴 #tbt pic.twitter.com/wLft8vso50
— Scuderia Ferrari (@ScuderiaFerrari) March 18, 2021
“หากคุณมอบกระดาษและสีให้กับเด็ก และบอกให้เขาวาดรถสักคัน แน่นอนว่าเขาจะวาดรถสีแดง” คือคำพูดที่โด่งดังของ เอ็นโซ เฟอร์รารี ผู้ก่อตั้งทีมสคูเดเรีย เฟอร์รารี ทีม F1 ชื่อดังจากอิตาลี
แต่เมื่อเราพูดถึง F1 ในปัจจุบัน แน่นอนว่าเฟอร์รารีจะยังเป็นทีมที่หลายคนพูดถึง แต่จะไม่ใช่ทีมที่ถูกกล่าวถึงในแง่ของความสำเร็จ
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เฟอร์รารีนับเป็นทีมที่ประสบปัญหาภายในอย่างหนัก โดยเฉพาะสถานการณ์ที่พวกเขาถูกทีมร้องเรียนเรื่องของเครื่องยนต์เมื่อฤดูกาล 2019
จนทำให้พวกเขาถูกสหพันธ์รถยนต์ระหว่างประเทศ (FIA) สั่งปรับ โดยไม่เปิดเผยบทลงโทษ จนทำให้รถของพวกเขาสูญเสียข้อได้เปรียบด้านความเร็วไปอย่างเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้
แต่มาในฤดูกาลนี้ มัตเตีย บิน็อตโต ทีมบอสของเฟอร์รารี ได้ยืนยันว่า พวกเขาสามารถแก้ปัญหาทางเครื่องยนต์เมื่อปี 2020 ได้แล้ว และการทำความเร็วในทางตรงจะไม่ใช่ปัญหาของเฟอร์รารีอีกต่อไป
แม้ว่าพวกเขาจะมีนักแข่งหน้าใหม่อย่าง คาร์ลอส ไซน์ ที่ทำผลงานได้ดีกับแมคราเรนเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่สถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ช่วงเวลาพรีซีซันลดลงจนไซน์เหลือเวลาปรับตัวกับรถใหม่เพียงแค่ 3 วันในช่วงทดสอบสนาม เขาต้องใช้เวลาปรับตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อการนำพารถยนต์สีแดงชื่อดังกลับขึ้นมาสู่จุดที่หลายคนคาดหวังจากทีมม้าลำพองตลอดมา
ฤดูกาลแห่งการผสมผสานระหว่างนักแข่งรุ่นเก๋ามากประสบการณ์กับดาวรุ่งพุ่งแรงหน้าใหม่
ลูอิส แฮมิลตัน, เซบาสเตียน เวทเทล, เฟร์นานโด อลอนโซ และ คิมี ไรโคเนน ต่างเป็นนักแข่งที่เคยคว้าแชมป์โลก F1 มาแล้วในอดีต และยังลงแข่งขันในฤดูกาลนี้
เช่นเดียวกับทั้ง ยูกิ ซึโนดะ, นิกิตา มาเซปิน และ มิค ชูมัคเกอร์ ต่างก็เป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองในฤดูกาลแรกของ F1
สังเวียนต่างๆ ในฤดูกาลนี้ จึงเป็นสนามประลองฝีมือสำคัญสำหรับนักแข่งรุ่นเก๋าที่เคยคว้าแชมป์มาแล้วและนักแข่งที่สัมผัสการแข่งขันระดับสูงสุดเป็นครั้งแรก ซึ่งจะทำให้การแข่งขันรถยนต์ความเร็วสูงยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก
และในสถานการณ์ไม่ปกติที่วิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่จบลง ทำให้นักแข่งสำรองของทีมต่างๆ จะมีโอกาสได้ลงแข่งขันเหมือนกับที่ จอร์จ รัสเซล ได้โอกาสลงแข่งให้กับเมอร์เซเดส เอเอ็มจี ในวันที่ ลูอิส แฮมิลตัน ถูกตรวจพบโควิด-19 ในช่วงท้ายฤดูกาลที่ผ่านมา
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
