ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยกว่า 1 แสนล้านบาท สูงกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเดียวกัน นักวิเคราะห์มองแนวโน้มเงินไหลเข้าต่อเนื่องแต่อาจเบาบางลง เหตุพื้นฐานเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดี ขณะที่ครึ่งปีหลังการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวโดดเด่นหลังจากเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจ
สำรวจมูลค่าการซื้อขายสะสมของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ 1 มกราคม – 25 มีนาคม 2565 พบว่านักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 100,301.22 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน
โดยตั้งแต่ต้นปีถึง 24 มีนาคม 2565 ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 1,912 ล้านดอลลาร์, ขายสุทธิในตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ 121 ล้านดอลลาร์, ขายสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ 6,227 ล้านดอลลาร์, ขายสุทธิในตลาดหุ้นไต้หวัน 17,390 ล้านดอลลาร์ และซื้อสุทธิในหุ้นไทย 3,080 ล้านดอลลาร์
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าเงินลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มไหลเข้าลงทุนในหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่อาจจะเบาบางลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ที่ไหลเข้ามาแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทเริ่มมีทิศทางอ่อนค่าอย่างชัดเจน ทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยลดลง
ขณะเดียวกันการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจทำให้เงินลงทุนชะลอการไหลเข้าในครึ่งปีหลัง แต่เชื่อว่าจะทิศทางส่วนใหญ่จะเป็นการไหลเข้าต่อเนื่อง
ทั้งนี้แม้ไตรมาสแรกปีนี้เงินต่างชาติจะไหลเข้ามาแล้วราว 1 แสนล้านบาท แต่ยังไม่เท่าระดับเดิมที่เคยมีเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยสูงสุดคิดเป็น 30% ของมาร์เก็ตแคป โดยปัจจุบันอยู่ที่ 22% เท่านั้น ซึ่งฝ่ายวิจัยเชื่อว่าสัดส่วนที่พอเหมาะน่าจะอยู่ที่ 25% ของมาร์เก็ตแคป
เขากล่าวเพิ่มว่า ปัจจัยที่จะทำให้เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง คือ ศักยภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และความสามารถในการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย ซึ่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านแล้วค่อนข้างดีกว่า นอกจากนี้ บจ. ส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยอยู่ในกลุ่ม Old Economy และ Commodities ซึ่งเป็นธีมหุ้นที่ได้รับความสนใจสูงในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ต่างชาติจะซื้อสุทธิ แต่ SET Index ปรับตัวขึ้นมาเพียง 1.4% (YTD) เท่านั้น แรงต้านสำคัญคือแรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ขายออกมากว่า 8 หมื่นล้านบาท (YTD) ซึ่งสูงกว่ามูลค่า LTF ที่ครบกำหนดขายในปี 2559 (มูลค่ารวม 5-6 หมื่นล้านบาท) โดยมองว่าน่าจะเป็นการถือเงินสดเพื่อรอจังหวะในการซื้อคืน
วิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า นักลงทุนต่างประเทศมีแนวโน้มซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจไทยในช่วงกลางปีนี้มีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น ทั้งจากการปลดล็อกด้านการท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศที่น่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง
โดยฝ่ายวิจัยประเมิน GDP ไทยปีนี้จะเติบโต 3.2% และจะมีนักท่องเที่ยวเข้าเดินทางเข้าประเทศในปีนี้ 9 ล้านคน ขณะที่ปี 2566 ประเมิน GDP จะเติบโตต่ออีก 3.8%
ทั้งนี้หากเทียบกับตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ตลาดหุ้นไทยมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามากที่สุด ซึ่งประเมินว่าเป็นเพราะความโดดเด่นด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กำลังซื้อในประเทศ และการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก
“แม้การเติบโตของ GDP ไทยจะไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย แต่ยังมีโมเมนตัมเชิงบวกอยู่ และจะเป็นปัจจัยที่หนุนให้เงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อ โดยก่อนหน้านี้เงินต่างชาติไหลออกไปหลายแสนล้านบาท ในไตรมาสแรกปีนี้ที่เข้าซื้อสุทธิแสนล้านบาท ยังไม่ได้ชดเชย” วิจิตรกล่าว
สำหรับหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ คือ กลุ่มที่ราคายังไม่แพงและการฟื้นตัวของกำไรเพิ่งเริ่มขึ้น เช่น หุ้นกลุ่มขนส่ง (AOT) และกลุ่มโรงแรม (CENTEL, MINT)
สำหรับปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed และการดึงสภาพคล่องออกจากระบบเศรษฐกิจนั้น ประเมินว่าจะกระทบกับเงินลงทุนต่างชาติบ้างแต่จะไม่มากนัก เนื่องจาก Fed มีการให้ข้อมูลเป็นระยะ ทำให้ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่สามารถวางแผนการลงทุนได้ โดยเป้าหมายลงทุนของผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่กำลังมุ่งมาที่กลุ่มตลาดเกิดใหม่
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP