ประเด็นทางการเมืองที่ร้อนระอุกำลังปกคลุม 2 เศรษฐกิจใหญ่ของอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย และไทย นำไปสู่การเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า ไทยและอินโดนีเซีย อาจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งใหญ่เร็วๆ นี้
หลังจากเกิดการประท้วงทั่วประเทศในอินโดนีเซีย ซึ่งกินเวลานานกว่า 3 วัน และทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 7 คน ขณะที่ประเทศไทย ก็กำลังจะมีผู้นำและรัฐบาลใหม่ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญไทยมีมติเสียงข้างมากให้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี
สถิติชี้ 1 เดือนหลังศาลสั่งปลดนายกฯ ต่างชาติขายสุทธิเฉลี่ย ‘1 หมื่นล้านบาท’
สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล. กสิกรไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินปลดนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 4 ครั้ง จากสถิติที่ผ่านมา ในช่วง 1 เดือนแรก หลังคำตัดสินของศาล นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเฉลี่ย 1 หมื่นล้านบาท
“หากไม่เกิดการยุบสภา SET น่าจะไม่ปรับตัวลงแรงนัก คาดว่าดัชนีจะอยู่ในกรอบ 1,190 – 1,275 จุด ในช่วงเดือนกันยายนนี้ แต่หากการเลือกนายกฯ ใหม่ล่าช้า ผลกระทบจะมากขึ้น”
อย่างไรก็ดี พ.ร.บ. งบประมาณที่ผ่านคณะรัฐมนตรีแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้ความน่ากังวลไม่มากนัก
สำหรับกระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ในเดือนกรกฎาคมต่างชาติซื้อสุทธิ 1.6 หมื่นล้านบาท ก่อนที่จะกลับมาขายสุทธิราว 2 หมื่นล้านบาท โดยมาจากทั้งการขายโดยปกติ รวมทั้งการปรับพอร์ตตาม MSCI ที่ลดน้ำหนักหุ้นไทย และการขาย Big lot หุ้น TIDLOR
สรพลกล่าวต่อว่า ปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางของฟันด์โฟลวในช่วงถัดจากนี้คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ วันที่ 16-17 กันยายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ พร้อมกับข้อมูล Dot Plot สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยในปี 2569
“ตอนนี้เริ่มเห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจและการจ้างงานเริ่มชะลอ ขณะที่คณะกรรมการเฟดเริ่มปรับโฉมไปมาก เชื่อว่าตลาดเริ่มให้น้ำหนักกับการลดดอกเบี้ยในปีหน้ามากขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง อาจจะเพิ่มเป็น 2-4 ครั้ง หากข้อมูล dot plot สะท้อนภาพนี้ จะเห็นเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งในเอเชีย”
กลยุทธ์ลงทุนในเวลานี้ สรพลแนะนำให้กลับมาเพิ่มน้ำหนักหุ้นในประเทศมากขึ้น เพราะเชื่อว่าจะเห็นแรงซื้อกลับหลังจากหุ้นไทยย่อตัว แม้อาจจะเห็นแรงขายต่างชาติในช่วงแรก
ทั้งนี้ ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (YTD) ติดลบอยู่ราว 11% แม้ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี SET จะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดของปีที่ 1,053 จุด กลับมาอยู่ที่ราว 1,240 – 1,280 จุด
ส่วนความเคลื่อนไหวล่าสุดหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งปลดนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ดัชนี SET ปรับตัวขึ้น 7 จุด จากวันก่อนหน้า
ตลาดหุ้นอินโดฯ ร่วงหนักสุดรอบ 5 เดือนเซ่นประท้วงเดือด!
ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียร่วงลงมากถึง 3.6% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 5 เดือน โดยหุ้นกลุ่มธนาคารการเงินนับเป็นตัวฉุดที่ใหญ่ที่สุด โดยหุ้น Bank Rakyat, PT Bank Central Asia และ PT Bank Mandiri Persero ต่างก็ลดลงมากกว่า 4% ระหว่างวัน หลังเกิดการประท้วงทั่วประเทศ ซึ่งกินเวลานานกว่า 3 วัน และทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 7 คน
ความตึงเครียดปรากฏให้เห็นในตลาดพันธบัตรด้วยเช่นกัน โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 7 Basis Points มาอยู่ที่ 6.4% ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ ขณะที่ค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 16,520 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย
เปิดปมความไม่พอใจชาวอินโดนีเซีย นำสู่การประท้วงใหญ่
ทั้งนี้ การประท้วงในอินโดนีเซียเริ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากความไม่พอใจเกี่ยวกับสิทธิพิเศษมากมายที่สมาชิกสภานิติบัญญัติอินโดนีเซียได้รับ ซึ่งรวมไปถึงค่าเบี้ยเลี้ยงบ้านพักของสมาชิกรัฐสภา ที่สูงเกือบ 10 เท่าของค่าแรงขั้นต่ำรายเดือนในกรุงจาการ์ตา
โดยความไม่พอใจยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นการเพิ่มภาษี การปลดพนักงานจำนวนมาก และภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อชาวอินโดนีเซียที่มีรายได้น้อย ท่ามกลางปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ และการใช้ความรุนแรงของตำรวจ
อย่างไรก็ตาม การปราศรัยของปราโบโว ซูเบียโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ต่อประชาชนในคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซูเบียโต ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะแก้ไขข้อเรียกร้องต่างๆ ของประชาชน
โดยช่วงเช้าวันนี้ (1 กันยายน) แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต (Airlangga Hartarto) รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจอินโดนีเซียยังคง ‘แข็งแกร่ง’
ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะยังคงอยู่ในโหมดระมัดระวัง จนกว่าจะมีการปฏิรูปเพิ่มเติม หรือผู้ประท้วงแสดงความพึงพอใจ
โดยประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้ยกเลิกแผนการเดินทางไปเยือนประเทศจีนในสัปดาห์นี้ เพื่ออยู่ประสานงานต่อความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 10 เดือนของการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ
Siwage Dharma Negara หัวหน้าโครงการศึกษาอินโดนีเซียที่สถาบัน ISEAS Yusof Ishak กล่าวว่า “การประท้วงครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างลึกซึ้งของประชาชนต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น ความเหลื่อมล้ำ และการบริหารจัดการที่ย่ำแย่”
“จนถึงตอนนี้ มองว่า การตอบสนองของรัฐบาลส่วนใหญ่เพียงผิวเผิน เช่น การยกเลิกเบี้ยเลี้ยงของรัฐสภา การลดการเดินทางไปต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งล้มเหลวในการแก้ไขต้นตอของปัญหา”
“เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาด ปราโบโวต้องให้ความสำคัญกับการปฏิรูปเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือเพื่อคนยากจน มากกว่าเป้าหมายการเติบโตที่ทะเยอทะยาน” Siwage Dharma Negara กล่าว
Dedi Dinarto นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Global Counsel บริษัทที่ปรึกษานโยบายสาธารณะ กล่าวว่านักลงทุนยังคง ‘ระมัดระวัง’ เนื่องจากข่าวลือเรื่องการประท้วงเพิ่มเติม
พร้อมระบุว่า “เมื่อความโกรธเคืองของประชาชนพุ่งเป้าไปที่การใช้จ่ายเงินของรัฐ นักลงทุนจึงระมัดระวัง ทบทวนกลยุทธ์ และปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจเกิดขึ้น”หุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากความไม่สงบในการซื้อขายในตลาดเมื่อวันจันทร์คือหุ้นของธนาคาร
ฮาร์ตาร์โต ยังย้ำว่า “รัฐบาลมีความสามารถและความมุ่งมั่นที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ” โดยเน้นย้ำถึงความเพียงพอของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของอินโดนีเซีย ซึ่งสูงมากกว่ามูลค่าการนำเข้าเป็นเวลา 6 เดือน โดยอัตราเงินเฟ้อก็มีเสถียรภาพอยู่ที่ 2.3% และการเกินดุลการค้าที่คงที่
ไพบูลย์ มองการเดินหน้า ‘ยุบสภา’ เป็นบวกกับตลาดหุ้น
ไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH เกี่ยวกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยชี้ว่าตลาดหุ้นไม่ได้ตื่นตระหนก เพราะเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ และมองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการ ‘เคลียร์ภาพใหญ่’ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการยุบสภาในที่สุด
“ผมคิดว่ามันก็ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์เคยคาดไว้ ตลาดก็เลยไม่ได้ตื่นตระหนกมาก” ไพบูลย์กล่าว “คำพิพากษาเมื่อวันศุกร์ และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็คงเป็นแบบนี้ ตลาดก็เลยยังนิ่ง ๆ อยู่” ไพบูลย์กล่าว
ยุบสภา คือทางออกที่เป็นไปได้ที่สุด
ไพบูลย์มองว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทิศทางสุดท้ายน่าจะนำไปสู่การยุบสภา ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้าอย่างแน่นอน เพราะดูเหมือนว่าทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องว่านี่คือทางออกเดียวที่จะทำให้การเมืองเดินหน้าต่อไปได้ และยังเป็นการสร้างความหวังให้กับตลาดทุน เพราะรัฐบาลชุดนี้มีความไม่มั่นคงตั้งแต่ต้น เนื่องจากต้องพึ่งพาเสียงจากหลายพรรครวมกัน การเลือกตั้งใหม่จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
“ผมคิดว่าการเลือกตั้งใหม่น่าจะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ที่สุดแล้ว หากมีการเลือกตั้งใหม่ครั้งนี้ผมเชื่อว่านโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งก็น่าจะไปเน้นที่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมากขึ้น นโยบายเศรษฐกิจคงไม่เน้นประชานิยมเพียงอย่างเดียว เพราะทุกคนเห็นแล้วว่าปัญหาของประเทศชาติอยู่ตรงไหน” ไพบูลย์กล่าว
สำหรับการหาทางออกให้การเมืองเดินหน้าต่อได้ ไพบูลย์มองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนจะพิจารณาเลือกโหวตให้นายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทย พรรคใดพรรคหนึ่ง เพราะทั้งสองพรรคต่างตอบรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนเพื่อแลกกับการขอเสียงโหวตตัวนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่พรรคประชาชนเสนอให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อทำหน้าที่บริหารประเทศไปพลางก่อน และจัดการในเรื่องที่สำคัญ เช่น การทำประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่และดูแลเศรษฐกิจในระยะสั้น ก่อนจะเดินหน้าสู่การยุบสภาในอีก 4 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้ นำไปสู่การจัดเลือกตั้งใหม่
ปัจจัยบวกจากความชัดเจนทางการเมือง
หากสามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้และจัดตั้งรัฐบาลได้ในสัปดาห์นี้ ไพบูลย์เชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ เพราะการเมืองที่ชัดเจนจะทำให้นักลงทุนหันไปให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น ๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลก ทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หรือแม้แต่นโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยภายใต้ผู้ว่าฯ คนใหม่
นอกจากนี้ การที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีหน้าได้ผ่านการอนุมัติแล้ว จะช่วยให้การบริหารงานของรัฐบาลรักษาการสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด ซึ่งไพบูลย์ระบุว่างบประมาณปีหน้าได้ผ่านไปแล้วและคงไม่มีการทำอะไรใหม่ๆ โดยรัฐบาลรักษาการนี้ แต่ก็ยังเหลือเงินงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะสามารถนำมาใช้ได้ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่และยุบสภา
ไพบูลย์เชื่อว่าการเมืองไทยกำลังเดินไปตามกลไกประชาธิปไตย แม้จะมีความเสี่ยงจากปัจจัยที่ไม่แน่นอน เช่น ความขัดแย้งทางการเมือง หรือการที่พรรคการเมืองไม่สามารถรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ไพบูลย์ยังให้น้ำหนักว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดี โดยมีการตั้งรัฐบาลใหม่และเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ในที่สุด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
“ถ้าไม่วุ่นวายถ้ามันเดินไปตามกลไกประชาธิปไตยก็มองเป็นภาพบวก” ไพบูลย์กล่าว
ไพบูลย์ทิ้งท้ายว่า แม้จะยังไม่สามารถระบุตัวเลขดัชนีที่แน่นอนได้ แต่แนวโน้มโดยรวมของตลาดทุนไม่น่าจะแย่ เพราะนักลงทุนยังมีความหวังกับการเลือกตั้งครั้งหน้า รวมถึงการที่ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยและตัวเลขเศรษฐกิจของไทยที่ไม่ได้ย่ำแย่ ขณะที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ก็เป็นปัจจัยที่น่าจับตามองเช่นกัน ซึ่งหากออกมาในทิศทางที่ดีก็จะยิ่งส่งผลบวกต่อตลาด
“ถ้าการเมืองลงตัวได้ โฟกัสของตลาดทุนก็จะไปมองที่อื่นซึ่งถ้าปัจจัยอื่นเป็นบวกมาก ๆ มันก็จะปรับขึ้นได้เยอะ” ไพบูลย์กล่าว
ภาพ: Reuters
อ้างอิง: