×

ต่างชาติ ‘ขายสุทธิ’ บอนด์ไทยทะลุ 2 พันล้านบาท หลังฟิทช์หั่นมุมมอง

25.09.2025
  • LOADING...
foreign-investors-sell-thai-bonds-fitch

ต่างชาติ ‘ขายสุทธิ’ บอนด์ไทยทะลุ 2 พันล้านบาทในวันเดียว หลังฟิทช์ เรตติงส์หั่นมุมมองความน่าเชื่อถือไทยเป็นลบ (Negative) นักวิเคราะห์มอง การเคลื่อนไหวนี้อาจมีผลบ้าง ร่วมกับแรงการขายทำกำไรของนักลงทุน ชี้สาเหตุ ผลกระทบจำกัดมาจาก 95% ของบอนด์ไทยถูกถือครองโดยคนไทย ทำให้แรงกระแทกจากนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างน้อย

 

วันนี้ (25 กันยายน) สงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า นักลงทุนต่างชาติ ‘ขายสุทธิ’ (Net Sell) พันธบัตรไทยไปประมาณ 2 พันล้านบาท โดยมองว่า มาจากหลายสาเหตุได้แก่การขายทำกำไร ผสมโรงกับการปรับลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือไทยเป็นลบ (Negative) ของฟิทช์ เรตติงส์ (Fitch Ratings)

 

“ถามว่า สาเหตุมาจาก Fitch Ratings หั่นมุมมอง (Outlook) ไทยหรือไม่ ผมว่า ผสมกัน” สงวนกล่าว พร้อมอธิบายว่า ช่วงที่ผ่านมา ในตลาดบอนด์ เริ่มเห็นการขายทำกำไร ทั้งจากนักลงทุนต่างชาติและในประเทศ ทำให้เกิดการแกว่งตัวหรือความผันผวนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond Yield) ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับมุมมอง (Outlook) ของไทย

 

แต่เมื่อวาน ต่อเนื่องถึงวันนี้ การปรับมุมมองของ Fitch ส่งเสริมทำให้การขายทำกำไรมันแข็งแรงขึ้น จึงมีความผันผวนเกิดขึ้น และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวขึ้นประมาณ 2-5 basis point ซึ่งการปรับตัวของ Bond Yield นี้ถือว่า ‘ไม่เยอะ’ โดยมองเป็นการปรับฐาน (Correction) ก็ได้

 

นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ Bond Yield ปรับตัวไม่เยอะ มาจากตลาดเชื่อว่า ดอกเบี้ยนโยบายปลายทาง (Terminal Rate) จะอยู่ที่ 1% แต่ไม่เชื่อว่า จะต่ำกว่า 1% เนื่องจาก อัตราเงินเฟ้อไทยปีนี้ค่อนข้างต่ำ เช่นเดียวกับฐานปีหน้าก็จะต่ำ (Low Base) ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงไม่น่าต่ำกว่า 1% โดยเส้นอัตราผลตอบแทน Price In ไปหมดแล้ว

 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลของตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ในปีนี้ ต่างชาติยังซื้อสุทธิบอนด์ไทยอยู่ที่ 29,401 ล้านบาทตั้งแต่ต้นปี (YTD)

 

ถอดบทเรียน ทำไมไทยถูกหั่นมุมมองเครดิตเรตติ้ง ไม่ค่อยกระทบตลาดบอนด์

 

สงวนกล่าวอีกว่า ย้อนกลับไป เมื่อเดือนเมษายนที่ มูดี้ส์ เรตติงส์ (Moody’s Ratings) ประกาศหั่นแนวโน้ม (Outlook) อันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (Negative) ก็แทบไม่มีผลเลย แม้ตามทฤษฎีควรจะเห็นการปรับพอร์ตบ้าง โดยเฉพาะในบอนด์ตัวยาว ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทน (Curve) ชันขึ้น หรือ Term Premium สูงขึ้น เนื่องจาก ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุน 95% เป็นคนไทย ดังนั้น ถ้านักลงทุนไทยยังซื้ออยู่ แรงกระแทกจึงน้อย

 

ขณะที่ ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าทะลุ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไป สงวนมองว่า การปรับลดมุมมองของ Fitch อาจมีน้ำหนักอยู่บ้าง ท่ามกลางการลดลงของราคาทองคำ และการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ หลังจากผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รอบล่าสุด

 

“สืบเนื่องจากการประชุม Fed รอบล่าสุด แม้ว่า Fed จะเห็นด้วยว่า จะลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นในปีนี้ แต่ก็เป็นการเลื่อนให้เร็วขึ้น หรือหมายความว่า จะลดดอกเบี้ยมากขึ้นในปีนี้ แต่ไปลดดอกเบี้ยน้อยลงในปีหน้า พูดง่าย ๆ คือ ลดดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้ตัวเลขการจ้างงานดูแย่ แต่ในมุมมองระยะยาวยังไม่เปลี่ยนแปลง” สงวนกล่าว

 

ตลาดหุ้นมอง ‘การเติบโต’ มากกว่า ‘เสถียรภาพ’

 

สงวน ยังมองว่า การปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของ Credit Rating Agency มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นจึง ‘จำกัด’ เนื่องจาก ในทางทฤษฎี เครดิตเรตติงเป็นเรื่องของตลาดเครดิต ไม่ใช่ตลาดหุ้นโดยตรง กล่าวคือ เครดิตเรตติงจะมุ่งเน้นไปที่ ‘เสถียรภาพของประเทศ’ ขณะที่ตลาดหุ้นเป็นตัวแทนของ ‘การเติบโตทางเศรษฐกิจ’

 

ยกตัวอย่างเช่น เวียดนาม ซึ่งมีอันดับเครดิตเรตติงแย่กว่าไทยหลายอันดับ แต่ยังสามารถดึงดูดเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นได้ เพราะเม็ดเงินที่เข้าสู่ตลาดหุ้นเป็นการเน้นที่การเติบโตเป็นหลัก ไม่ได้มุ่งเน้นการพักเงินหรือเสถียรภาพและมีความผันผวนน้อย

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising