ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยหรือ Krungthai COMPASS ประเมินว่า มาตรฐานและกฎระเบียบทางการค้าใหม่ โดยเฉพาะข้อกำหนดในการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร หรือ Food Traceability ที่เข้มข้นขึ้นในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน อาจส่งผลกระทบการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยใน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าปศุสัตว์ ประมง อาหารสัตว์ และสินค้าผักและผลไม้ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกรวมกันถึง 1.59 แสนล้านบาทต่อปี หรือ 16% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ซึ่งอยู่ที่กว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี
พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการในธุรกิจเกษตรและอาหารของไทยจำเป็นต้องก้าวให้ทันมาตรฐานเกี่ยวกับ Food Traceability เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหาร ประเด็นด้านสุขภาพ และสวัสดิภาพแรงงาน รวมทั้งความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม จึงต้องการรู้ที่มาที่ไปของอาหาร
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยความท้าทายที่จะเข้ามาในรูปแบบของมาตรฐานและกฎระเบียบทางการค้าใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบย้อนกลับตลอดกระบวนการผลิต ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคทางการค้าสำหรับผู้ส่งออกไทยได้หากเตรียมตัวไม่ทัน
“ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรและอาหารต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบทางการค้าที่ออกมาใหม่ๆ อาทิ นโยบาย Farm to Fork ของสหภาพยุโรป ที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตจากฟาร์มไปจนถึงมือผู้บริโภค โดยจะต้องมีการพัฒนาระบบการผลิตและขนส่งอาหารที่มีความโปร่งใส ดีต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าอาหารโดยการบังคับติดฉลากเพื่อแสดงข้อมูลสินค้า เช่น โภชนาการ แหล่งที่มา ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ หรือมาตรฐานเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา ที่จะทำให้การตรวจสอบย้อนกลับของแหล่งที่มาอาหารจากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบเอกสารมาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2023”
ขณะที่ อภินันทร์ สู่ประเสริฐ นักวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า สินค้าเกษตรและอาหารของไทยที่ต้องเร่งดำเนินการเรื่อง Traceability อย่างจริงจังมี 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าปศุสัตว์ ประมง อาหารสัตว์ และสินค้าผักและผลไม้ เนื่องจากสินค้าเหล่านี้มักถูกจับตาในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในสินค้า และยังเป็นกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับระบบการตรวจสอบย้อนกลับอาหารค่อนข้างมาก นอกจากนี้ ในระยะหลังคู่ค้าสำคัญอย่างจีนก็เข้มงวดในมาตรการด้านสุขอนามัยในสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น
ทั้งนี้ สินค้า 4 กลุ่มหลักมีมูลค่าการส่งออกรวมกันถึง 1.59 แสนล้านบาทต่อปี หรือ 16% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ซึ่งอยู่ที่กว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี
ด้านกฤชนนท์ จินดาวงศ์ นักวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย แนะนำว่า ผู้ประกอบการควรเริ่มจากการจัดเก็บข้อมูลที่จำเป็นตลอดห่วงโซ่การผลิตในรูปแบบดิจิทัล เพื่อช่วยให้การตรวจสอบย้อนกลับอาหารทำได้ง่ายขึ้น เช่น ข้อมูลแหล่งผลิตฟาร์มและเพาะเลี้ยง ชนิดพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ ปริมาณการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง ข้อมูลการแปรรูป สำหรับตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร ได้แก่ การใช้ RFID, IoT, QR Code และ Blockchain ในการเก็บข้อมูลแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ โดยผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับจากฉลากสินค้าในรูปแบบ QR Code อีกทั้งในกรณีที่เกิดโรคระบาดในสัตว์ ยังช่วยลดเวลาที่ใช้ในการตรวจสอบสินค้าที่มีการปนเปื้อนจากเชื้อ
ทั้งนี้ มองว่าไทยจำเป็นต้องสร้าง Ecosystem ด้านสินค้าเกษตรและอาหารที่เกื้อหนุนกันตั้งแต่เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐที่ให้การรับรองมาตรฐานและให้คำปรึกษาด้านมาตรฐานอาหาร เช่น สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และสถาบันอาหาร