พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ระหว่างร่วมงานสัมมนา ‘3 ปีหลังรัฐประหาร : สู่ประชาธิปไตยในเมียนมา และผลกระทบต่อความมั่นคงชายแดนไทย’ ที่อาคารรัฐสภาวานนี้ (3 มีนาคม) โดยแสดงความเห็นถึงการติดตามตรวจสอบสถานการณ์ในเมียนมาและผลกระทบต่อประชาชนตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาว่า เป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำมาอยู่ก่อนแล้ว โดยเป็นหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งพรรคก้าวไกลมี สส. ในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ ในเมียนมา เช่น กรณีฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากฮอตสปอตในฝั่งเมียนมา การร้องเรียนเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือการหลอกลวงออนไลน์ที่พบว่ามาจากฝั่งตรงข้ามอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก หรือตอนที่เกิดการระบาดของโรคโควิดใหม่ๆ ซึ่งทำให้แรงงานเมียนมาไม่สามารถข้ามแดนกลับมาทำงานในไทยได้
พิธายืนยันว่า การทำหน้าที่ทั้งหมดเป็นการยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนคนไทยเป็นที่ตั้ง และชี้ว่าต้นตอของหลากหลายปัญหานั้นเกิดจากความไร้เสถียรภาพและความรุนแรงในเมียนมา
“เพราะฉะนั้นทางพรรคก้าวไกลจึงต้องการป้องกันทั้งปัญหาปลายเหตุในไทยและปัญหาต้นเหตุในเมียนมา เพื่อที่จะสนับสนุนให้ชาวเมียนมาในฐานะเพื่อนบ้านของไทย กลับคืนสู่ความสงบสุขและระบอบประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน โดยที่ไม่ได้ต้องการจะแทรกแซงกิจการภายในของเมียนมา” พิธากล่าว
นอกจากนี้พิธายังกล่าวด้วยว่า การติดตามสถานการณ์เมียนมาและผลกระทบต่อคนไทย ยังถือเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลการทำหน้าที่ของรัฐบาลไทยในทุกนโยบาย รวมถึงนโยบายยาเสพติด นโยบายทางทหาร สังคม และนโยบายการต่างประเทศ
โดยพิธายังเน้นย้ำว่า สส. นั้นมีความจำเป็นต้องตรวจสอบว่ารัฐบาลได้ดำเนินนโยบายต่างๆ ไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ และประเทศไทยเสียหรือได้ผลประโยชน์อย่างไร ซึ่งพรรคก้าวไกลต้องคอยตรวจสอบและแนะนำรัฐบาลว่าสถานการณ์ในเมียนมาตอนนี้เป็นอย่างไรและควรต้องทำอะไรบ้าง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- 3 แนวทางแก้วิกฤตเมียนมา หากพิธาเป็นนายกฯ ชี้ไทยเป็นพื้นที่กลางสำหรับทุกฝ่ายได้ ปลุกอาเซียน-จีน-อินเดียร่วมกู้สถานการณ์
- โรมแจงปม กมธ.ความมั่นคงฯ จัดงานสัมมนา 3 ปีรัฐประหารเมียนมา หลัง กต.เมียนมา ส่งหนังสือค้าน ยันประสานรัฐบาล-กองทัพก่อนจัดงาน
- เมียนมาส่งหนังสือคัดค้านรัฐสภาไทยจัดสัมมนาเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา