รอน เดอแซนทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา กล่าวว่า ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าอาคารคอนโดมิเนียมสูง 12 ชั้นในเมืองไมอามีพังถล่มลงมาได้อย่างไร ขณะที่ปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิตยังคงดำเนินต่อไป โดยจำนวนผู้สูญหายยังคงอยู่ที่ 159 คน และมีการยืนยันผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ราย
ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาระบุว่า สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการในตอนนี้ยังคงมุ่งไปที่การค้นหาผู้รอดชีวิต แต่ขณะเดียวกันเริ่มมีคำถามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้อาคารถล่ม โดยเขาขอให้มีคำอธิบายโดยเร็วสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับเสริมว่าพวกเขาจำเป็นต้องรู้ว่า “นี่เป็นปัญหาเฉพาะที่ตัวอาคาร หรือเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น”
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า ห้องพักจำนวน 55 ห้อง จากทั้งหมด 136 ห้องของอาคาร Champlain Towers South พังถล่มลงมาในช่วงเวลาประมาณ 01.30 น. ของวันที่ 24 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่น โดยเบื้องต้นยังไม่แน่ชัดว่าระหว่างเกิดเหตุมีผู้พักอาศัยอยู่ภายในอาคารกี่คน
แดเนียลลา เลวีน คาวา นายกเทศมนตรีไมอามี-เดด กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อคืนวันศุกร์ว่า เธอหวังว่าจะพบผู้รอดชีวิต
“เรามีความหวังเพราะนั่นคือสิ่งที่ทีมค้นหาและกู้ภัยบอกเรา พวกเขามีความหวัง” เธอกล่าวกับผู้สื่อข่าว พร้อมกับเสริมว่า หน่วยกู้ภัยกำลังทำงานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน โดยต้องจำกัดจำนวนคนที่จะเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ เพื่อป้องกันอาคารส่วนที่เหลือพังถล่มลงมาอีก
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าทีมจากเม็กซิโกและอิสราเอลได้เดินทางมาถึงไมอามีแล้วเพื่อช่วยค้นหาผู้รอดชีวิต
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุมัติการประกาศภาวะฉุกเฉินในฟลอริดา เพื่อเปิดทางให้ Federal Emergency Management Agency (FEMA) เข้าไปช่วยหน่วยงานต่างๆ ของรัฐฟลอริดาในภารกิจบรรเทาทุกข์
สำหรับสาเหตุที่ทำให้อาคารพังถล่มนั้น กำลังเป็นคำถามที่หลายคนต้องการคำตอบ โดยการสืบสวนอย่างเต็มรูปแบบจะเริ่มขึ้นหลังจากภารกิจกู้ภัยและค้นหาผู้รอดชีวิต
อาคาร Champlain Towers South สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1981 ซึ่งเจ้าหน้าที่เผยว่าอาคารถึงกำหนดที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเพื่อขอการรับรองใหม่ (Recertification) สำหรับอาคารที่มีอายุ 40 ปี ซึ่งสอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับด้านความปลอดภัยของเมือง
New York Times รายงานคำกล่าวของ เคนเนธ ไดเรกเตอร์ ทนายความที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ว่า วิศวกรตรวจพบเหล็กขึ้นสนิม และพบความเสียหายที่คอนกรีต ซึ่งจำเป็นต้องซ่อมแซม แต่ขณะเดียวกันก็เสริมว่าตัวเขาเองไม่เห็นอะไรที่จะบอกได้ว่าการถล่มของอาคารนั้นเกี่ยวข้องกับผลการตรวจสอบดังกล่าว
ขณะที่ผลการศึกษาจากนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยนานาชาติฟลอริดา ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว พบว่าอาคารดังกล่าวจมลงในอัตรา 2 มิลลิเมตรต่อปีในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคาร
แต่ผู้เขียนเตือนว่าการศึกษานี้เป็นเพียงข้อมูลในช่วงเวลาที่ทำวิจัยเท่านั้น โดยอาคารแห่งนี้สร้างขึ้นบนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีการถมที่ดิน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเป็นเรื่องน่ากังวล เนื่องจากพื้นดินด้านล่างสามารถบีบอัดได้เมื่อเวลาผ่านไป และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
ศาสตราจารย์ชิมอน โดวินสกี ผู้เขียนงานวิจัยเรื่องการจมของอาคาร บอกกับหนังสือพิมพ์ Miami Herald ว่า “เราเคยเห็นที่สูงกว่านั้นมาก แต่มันโดดเด่นเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่มีความมั่นคงและไม่ยุบตัวลง”
ศ.โดวินสกีระบุว่า งานวิจัยดังกล่าวไม่สามารถเป็นตัวชี้ชัดถึงสาเหตุของเหตุการณ์อาคารถล่มล่าสุด
ภาพ: Joe Raedle / Getty Images
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: