รายงานการตรวจสอบเมื่อปี 2018 ชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดที่สำคัญในการออกแบบอาคารคอนโดมิเนียมสูง 12 ชั้นในเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ที่พังถล่มลงมาเมื่อวันพฤหัสบดี
รายงานของวิศวกรที่ปรึกษาการก่อสร้างอาคาร Champlain Towers เมื่อสามปีที่แล้ว เพิ่งถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะหลังจากที่เกิดเหตุอาคารถล่ม โดย แฟรงก์ โมราบิโต วิศวกร ระบุในรายงานถึงปัญหาเรื่องการระบายน้ำ ชี้เป็น ‘ปัญหาเชิงระบบ’ ที่เกิดจากข้อบกพร่อง ‘ในการจัดทำเอกสารสัญญาต้นฉบับ’ ซึ่งข้อผิดพลาดดังกล่าวทำให้น้ำไม่ไหลออกจากฐานของอาคาร
เขาทำเครื่องหมายเน้นไปที่ความเสียหายเชิงโครงสร้างบริเวณแท่นคอนกรีตใต้พื้นรอบสระว่ายน้ำ “ปัญหาเรื่องการกันน้ำเป็นสาเหตุให้เกิดความเสียหายเชิงโครงสร้างที่สำคัญกับแผ่นคอนกรีตด้านล่างพื้นที่เหล่านี้” เขาเขียนในรายงาน “หากไม่เปลี่ยนวัสดุกันซึมในอนาคตอันใกล้จะทำให้การเสื่อมสภาพของคอนกรีตขยายขอบเขตออกไปแบบทวีคูณ”
วิศวกรยังกล่าวถึง “การแตกร้าวมากมาย…ของเสา คาน และผนัง” ในโรงจอดรถ
รายงานการตรวจสอบดังกล่าวไม่ได้บ่งชี้ว่าอาคารอายุ 40 ปีมีความเสี่ยงว่าใกล้จะพังถล่ม แต่เขาเร่งให้มีการซ่อมแซมคอนกรีตอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าได้มีการซ่อมแซมอาคารตามคำแนะนำแล้วหรือไม่ และยังไม่ชัดเจนว่าปัญหาที่วิศวกรเน้นย้ำในรายงานการตรวจสอบเมื่อสามปีที่แล้วนั้นมีส่วนทำให้โครงสร้างของอาคารได้รับความเสียหายจนถล่มลงมาหรือไม่
รอน เดอแซนทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ให้สัญญาว่าทางการจะค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น โดยกล่าวว่า “ใครก็ตามที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรงต่างก็ต้องการคำตอบนั้น”
ทั้งนี้ ห้องพักจำนวน 55 ห้อง จากทั้งหมด 136 ห้องของอาคาร Champlain Towers พังถล่มลงมาในช่วงเวลาประมาณ 01.30 น. ของวันที่ 24 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งผู้อาศัยจำนวนมากกำลังนอนหลับอยู่ ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าได้ยินเสียงเหมือนฟ้าร้องก่อนที่จะเห็นกลุ่มฝุ่นขนาดใหญ่ภายหลังอาคารถล่ม
อาคาร Champlain Towers สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1981 ซึ่งเจ้าหน้าที่เผยว่าอาคารถึงกำหนดที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเพื่อขอการรับรองใหม่ (Recertification) สำหรับอาคารที่มีอายุ 40 ปี ซึ่งสอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับด้านความปลอดภัยของเมือง
ก่อนหน้านี้ The New York Times รายงานคำกล่าวของ เคนเนธ ไดเรกเตอร์ ทนายความที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ว่า วิศวกรตรวจพบเหล็กขึ้นสนิมและพบความเสียหายที่คอนกรีตซึ่งจำเป็นต้องซ่อมแซม แต่ขณะเดียวกันก็เสริมว่าตัวเขาเองไม่เห็นอะไรที่จะบอกได้ว่าการถล่มของอาคารนั้นเกี่ยวข้องกับผลการตรวจสอบดังกล่าว
ขณะที่ผลการศึกษาจากนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยนานาชาติฟลอริดาซึ่งตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว พบว่าอาคารดังกล่าวจมลงในอัตรา 2 มิลลิเมตรต่อปีในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคาร
แต่ผู้เขียนเตือนว่าการศึกษานี้เป็นเพียงข้อมูลในช่วงเวลาที่ทำวิจัยเท่านั้น โดยอาคารแห่งนี้สร้างขึ้นบนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีการถมที่ดิน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเป็นเรื่องน่ากังวล เนื่องจากพื้นดินด้านล่างสามารถบีบอัดได้เมื่อเวลาผ่านไป และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
ศาสตราจารย์ชิมอน โดวินสกี ผู้เขียนงานวิจัยเรื่องการจมของอาคาร บอกกับหนังสือพิมพ์ Miami Herald ว่า “เราเคยเห็นที่สูงกว่านั้นมาก แต่มันโดดเด่นเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่มีความมั่นคงและไม่ยุบตัวลง”
ศ.โดวินสกีระบุว่า งานวิจัยดังกล่าวไม่สามารถเป็นตัวชี้ชัดถึงสาเหตุของเหตุการณ์อาคารถล่มล่าสุด
สำหรับการสืบสวนอย่างเต็มรูปแบบเพื่อหาสาเหตุของการถล่มจะเริ่มขึ้นหลังจากภารกิจกู้ภัยและค้นหาผู้รอดชีวิต ซึ่งความพยายามดังกล่าวต้องหยุดชะงักในวันเสาร์ หลังจากเกิดเพลิงไหม้ใต้ซากปรักหักพัง ส่งผลให้ความหวังที่จะพบเจอผู้รอดชีวิตต้องริบหรี่ลงไปอีก
โดยขณะนี้จำนวนผู้สูญหายยังคงอยู่ที่ 159 คน และมีการยืนยันผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย
ภาพ: Chandan Khanna / AFP via Getty Images
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: