เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยกับการหั่นอันดับเครดิตสหรัฐฯ จาก AAA เหลือ AA+ ของ Fitch Ratings โดยชี้ว่าการปรับลดอันดับเครดิตของ Fitch Ratings เป็นไปตามอำเภอใจและอ้างอิงจากข้อมูลที่ล้าสมัย
Fitch Ratings หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ได้ปรับลดอันดับเครดิตสูงสุดของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เป็น AA+ จากระดับ AAA เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (1 สิงหาคม) โดยให้เหตุผลถึงแนวโน้มการถดถอยทางการคลังในช่วง 3 ปีข้างหน้าของสหรัฐฯ ตลอดจนภาระหนี้ภาครัฐโดยรวมที่สูงและยังคงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การปรับลดอันดับดังกล่าวเป็นไปตามข้อตกลงเพดานหนี้ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการขาดดุลทางการเมืองมาหลายเดือน จนกระทั่งสภาคองเกรสสามารถบรรลุข้อตกลงในการขยายเพดานหนี้ของรัฐบาลที่มีมูลค่าสูงถึง 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
แถลงการณ์ของ Fitch Ratings ระบุว่า สำหรับมุมมองของ Fitch Ratings เห็นการเสื่อมลงอย่างต่อเนื่องในมาตรฐานการกำกับดูแลในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องการเงินและหนี้สิน แม้ว่าข้อตกลงของสองพรรคในเดือนมิถุนายนจะระงับวงเงินหนี้ไปจนถึงเดือนมกราคม ปี 2025 ก็ตาม
การจัดอันดับเครดิตดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญต่อการลงทุนในสหรัฐฯ เนื่องจากบรรดานักลงทุนส่วนใหญ่มักใช้การจัดอันดับเครดิตเพื่อประเมินความเสี่ยงของบริษัทและรัฐบาลเมื่อมีการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้
ทั้งนี้ ภายหลังการหั่นเครดิตไม่นาน เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของ Fitch Ratings โดยชี้ว่าการปรับลดอันดับเครดิตของ Fitch Ratings เป็นไปตามอำเภอใจและอ้างอิงจากข้อมูลที่ล้าสมัย
“การตัดสินใจของ Fitch Ratings ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ชาวอเมริกัน นักลงทุน และผู้คนทั่วโลกรู้อยู่แล้วว่าพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและมีสภาพคล่องเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งโดยพื้นฐาน” เยลเลนกล่าวในแถลงการณ์
ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตเพดานหนี้ในปี 2011 ทาง Standard & Poor’s หรือ S&P บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้ปรับลดอันดับเครดิตสูงสุด AAA ของสหรัฐฯ ลงหนึ่งขั้นภายในเวลาไม่กี่วันหลังจากบรรลุข้อตกลงเพดานหนี้ โดยอ้างถึงขั้วทางการเมืองและขั้นตอนที่ไม่เพียงพอที่จะปรับแนวโน้มทางการคลังของประเทศ
โดยปัจจุบันการจัดอันดับเครดิตสหรัฐฯ ของ S&P ยังคงเป็น AA+ ซึ่งสูงเป็นอันดับสอง
อ้างอิง: