กระทรวงการคลังแจงว่า ตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet เกิน 1 เท่าแน่นอน ยืนยัน โครงการนี้เดินหน้าต่อแน่นอน เหตุประชาชนและภาคธุรกิจตั้งตารอคอย แม้มีนักเศรษฐศาสตร์บางกลุ่มไม่เห็นด้วย แต่คนเห็นด้วยก็มี
วันนี้ (9 ตุลาคม) จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ต้องเดินหน้าต่อแน่นอน เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของชุดนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภาไปเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา โดยเป็นการเดินหน้าทำตามสิ่งที่ได้ให้คำมั่นกับประชาชนและรัฐสภาไว้
ยืนยัน Fiscal Multiplier เกิน 1 เท่าแน่นอน
ขณะที่ เผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ของโครงการนี้จะเกิน 1 เท่าแน่นอน เนื่องจากมีการกำหนดเงื่อนไข และมีความแตกต่างจากโครงการแจกเงินที่ผ่านมาในอดีตค่อนข้างมาก ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้
“ทำไมเราถึงต้องใส่เงื่อนไขในเรื่องของรัศมีการใช้งาน กรอบระยะเวลา และร้านที่จะขึ้นเงินได้จะต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี เงื่อนไขเหล่านี้ถูกคิดออกมาเพื่อสร้างผลต่อระบบเศรษฐกิจในเชิงบวกมากกว่าการกระจายไม่เพียงแบบเดิม
นอกเหนือจากนี้การแจกเงินในรูปแบบดิจิทัลง่ายกว่า เร็วกว่า และปลอดภัยสูงกว่า เพราะฉะนั้นความต่างเหล่านี้จึงไม่สามารถใช้ตัวเลขในอดีตหรือบทวิจัยในอดีตมาคำนวณผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้”
สอดคล้องกับจุลพันธ์ที่ระบุว่า “เพราะด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ที่กำหนดเอาไว้ จะบังคับให้เงินเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น เพราะไม่สามารถนำไปสู่การออม ไม่สามารถนำไปสู่การชดใช้หนี้สิน ไม่สามารถนำไปสู่อบายมุขได้ แต่เป็นกลไกในการกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน การผลิต และการบริโภค”
เตรียมเปลี่ยนรัศมีการใช้
จุลพันธ์กล่าวอีกว่า มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจากขยายรัศมีการใช้จาก 4 กิโลเมตร เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและสะดวกกับพี่น้องประชาชนมากขึ้น โดยอาจจะเป็นตำบล อำเภอ หรือจังหวัดแทน โดยจะมีข้อสรุปในช่วงราวสิ้นเดือนนี้
ยืนยันถึงความจำเป็นของโครงการฯ
ผู้บริหารกระทรวงการคลังยังได้ชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นที่รัฐบาลต้องขับเคลื่อนโครงการต่อไป ได้แก่
– ประชาชนและภาคธุรกิจรอคอย
“พวกผม…ในฐานะที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ลองไปถามคนต่างจังหวัด ร้อยทั้งร้อยกำลังรอนโยบายนี้ด้วยความหวัง แต่เราก็ไม่ได้ละเลยเสียงสะท้อน ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการหรือที่ใดก็ตามที่อาจมีความเห็นที่แตกต่าง เรารับฟังครับ” จุลพันธ์กล่าว
– เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพและถูกหั่นประมาณการ
จุลพันธ์ยังกล่าวอีกว่า GDP ของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราเติบโตช้ากว่าภูมิภาค รวมไปถึงช้ากว่าประมาณการ นอกจากนี้รายได้ภาคการเกษตรที่ลดลง ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง และหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น ในช่วงเวลาเพียงแค่ 10 ปีที่ผ่านมาหนี้สาธารณะก็เพิ่มขึ้นมาจากระดับ 40% เป็น 60% กว่า สถานการณ์ที่เราเจออยู่ในขณะนี้เปราะบางและมีความจำเป็นในการทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ดังนั้นถ้าเรายึดอยู่กับกรอบเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่มีการเติบโตเฉลี่ยเพียงแค่ 2% อย่างในอดีตที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนก็จะไม่สามารถหลุดจากกับดักของความลำบากได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องสร้างให้สังคมเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตที่เหมาะสม และนโยบายที่จะมาช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศเช่นนี้ก็ยังมีความจำเป็นที่เราจะต้องเดินหน้า
– ประชาชนรากหญ้ายังลำบาก
ขณะที่ กฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เครื่องยนต์เดียวในช่วงนี้ที่จะสามารถประคับประคองเศรษฐกิจไทยได้คือ การบริโภค พร้อมทั้งชี้ว่า ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมารายได้ของเกษตรกรลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 2.3% ขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากตัวเลขสภาพัฒน์ล่าสุดที่ประกาศออกมาแสดงให้เห็นว่า การบริโภคของคนฐานรากแทบจะไม่ได้โตขึ้นเลย สะท้อนว่าคนกลุ่มนี้น่าจะมีความจำเป็นและความเดือดร้อนจริง
แย้มจะกลับไปใช้แหล่งงบประมาณเป็นหลัก
จุลพันธ์เปิดเผยอีกว่า สำหรับแหล่งที่มาของเงินในโครงการนี้อาจเป็นในรูปแบบผสมผสาน เนื่องจากตอนนี้รัฐบาลมีตัวเลือกค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะใช้แหล่งของงบประมาณเป็นหลัก โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังทบทวน พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 อีกครั้ง ส่วนรายละเอียดจะชี้แจงในช่วงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ โดยจะมีตัวเลขที่ชัดเจนให้กับทุกคน
จุลพันธ์กล่าวอีกว่า “รัฐบาลยึดมั่นในหลักของวินัยทางการเงินการคลังมาโดยตลอด ซึ่งหากดูจากประสบการณ์การทำงานของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยในอดีต เราเป็นพรรคที่ชำระหนี้ IMF ก่อนเวลา เราเป็นพรรคที่สามารถสร้างงบประมาณสมดุลได้ และเรารู้ความสำคัญของวินัยทางการเงินการคลัง”
จ่อใช้งบไม่ถึง 5.6 แสนล้านบาท เนื่องจากเป็นการเปิดให้ลงทะเบียน
จุลพันธ์กล่าวอีกว่า เมื่อโครงการนี้เกิดขึ้นจริงจะต้องมีการลงทะเบียน ต้องมีการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าร่วมโครงการ เพราะฉะนั้นจำนวนผู้รับสิทธิ์เกิดขึ้นจริงเท่าไรก็ต้องดูอีกที