ความคืบหน้าสถานการณ์ไฟไหม้โกดังเก็บกากของเสียอุตสาหกรรมและสารเคมีอันตรายในพื้นที่บริษัท วิน โพรเสส จำกัด ตำบลบ้านค่าย จังหวัดระยอง ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าประมาณ 09.00 น. ของวันที่ 22 เมษายน โดยมีการระเบิดเป็นระยะ อีกทั้งมีกลิ่นสารเคมีเหม็นคละคลุ้งจนต้องอพยพชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงออกจากพื้นที่
วันนี้ (23 เมษายน) เวลา 09.00 น. มีรายงานว่าที่บริเวณโรงงานจุดเกิดเหตุ กลุ่มเพลิงที่เคยลุกโหมไหม้อย่างหนักได้ดับลงแล้ว คงเหลือเพียงควันสีขาวลอยคลุ้ง แต่รอบพื้นที่โรงงาน ในจุดที่เป็นกองวัสดุไม่ทราบชนิดยังคงมีความร้อนระอุอยู่ภายใน และมีควันพุ่งออกมาเป็นระยะ ท่ามกลางการดูแลของเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ต้องคอยสับเปลี่ยนกำลังหลังปฏิบัติงานกันมาตลอดทั้งคืน
ในส่วนสภาพความเสียหายของโรงงาน พบว่าตัวอาคารโกดังที่มีทั้งหมด 5 หลัง ได้รับความเสียหาย 4 หลัง สารเคมีที่เก็บไว้ส่วนมากถูกไฟไหม้เสียหาย แต่ยังเหลืออยู่ สำหรับอาคารที่เสียหายเกือบทั้งหมดคืออาคาร 3 และอาคาร 4 เพราะเป็นอาคารที่ใช้เก็บสารเคมีที่เป็นของเหลว จึงเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ส่วนอาคาร 5 ที่เป็นจุดที่เชื่อมต่อกันมีไฟลามไปแต่ไม่มาก และมีอาคาร 2 ซึ่งเก็บของเหลวและแมกนีเซียมได้รับความเสียหายด้วยบางส่วน
ด้าน จตุรงค์ วงค์สุวรรณ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บางบุตร กล่าวว่าสถานการณ์ตอนนี้สามารถควบคุมเพลิงได้ 95% แล้ว วานนี้เพลิงลุกไหม้หนักช่วงเวลา 12.00-15.00 น. ทางจังหวัดจึงลงมาร่วมบัญชาการวางแผน จนเวลา 22.00 น. สามารถควบคุมเพลิงได้ในวงจำกัด เพลิงไม่ขยายตัว จึงถอนกำลังชุดโฟมและชุดนำ้บางส่วนออก และใช้หน่วยงานของท้องถิ่นเข้ามาสนับสนุน คอยช่วยฉีดสเปรย์น้ำต่อ จนถึงเวลา 03.00 น. ไฟจึงเบาลงเหลือแต่กลุ่มควัน
สำหรับการควบคุมอีก 5% ที่เหลือ ได้มีการเอาโฟมฉีดทับไว้ โดยส่วนมากเป็นกลุ่มซากปรักหักพังและซากสารเคมีซึ่งมีความร้อนคุกรุ่นอยู่ด้านใน ทั้งนี้ ยืนยันได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไฟจะไม่ลามไปถึงบ่อเก็บกากน้ำมัน 30 บ่อภายในโรงงานที่เป็นจุดน่าเป็นห่วงก่อนหน้านี้แล้วแน่นอน แต่สิ่งที่ยังห่วงคือไม่รู้ว่าสารเคมีจุดที่ยังมีความร้อนอยู่เป็นสารอะไร มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ซึ่งช่วงบ่ายทางรองผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้เรียกประชุมคณะทำงานเพื่อวางแผนการจัดการพื้นที่หลังจากนี้ รวมถึงแนวทางการดูแลชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบว่าจะให้กลับเข้าที่พักได้เมื่อใด
ด้าน พ.ต.อ. สราวุธ นุชนารถ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล (สภ.) บ้านค่าย ระบุว่า สาเหตุต้นเพลิงยังต้องรอผลตรวจพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ซึ่งตามหลักแล้ว หากเป็นโรงงานที่มีสารเคมี เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจะต้องรอให้ไฟดับสนิท 100% ก่อนจึงจะเข้าไปตรวจสอบได้
อย่างไรก็ตาม วานนี้ได้เรียกพยานแวดล้อมจำนวน 5 ราย ซึ่งเป็นผู้เฝ้าโรงงานไปสอบปากคำแล้ว ทุกคนให้การว่ามาเห็นตอนที่ไฟลุกไหม้แล้ว เพราะจุดที่ไฟเริ่มไหม้อยู่ห่างจากจุดที่พักอยู่ ตอนนี้ตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาใครเพราะต้องรอผลตรวจพิสูจน์สาเหตุ
ในส่วนของเจ้าของโรงงาน ขณะนี้ยังไม่ได้มีการมาแสดงตัว ซึ่งหลังจากนี้จะต้องทำการตรวจสอบเอกสาร และเรียกเข้ามาให้ปากคำ แต่โรงงานแห่งนี้มีความซับซ้อนเพราะก่อนหน้านี้มีคำสั่งศาลให้ปิดทำการและอยู่ในอำนาจของกรมโรงงานอุตสาหกรรมด้วย จึงต้องใช้เวลาตรวจสอบ
ด้าน โกเมน ผิวพุ่ม หัวหน้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง เปิดเผยว่า สำหรับสารเคมีด้านในโรงงานที่เกิดไฟไหม้นั้น เดิมทีทางหน่วยงานได้ลงมาสำรวจพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของทั้ง 5 อาคารในโรงงาน ซึ่งมีสารเคมีแบ่งเป็นถังโลหะและถังพลาสติกที่ใช้เก็บสารเคมี ของแข็งอะลูมิเนียมดอส แต่การจะจำแนกสารเคมีอย่างชัดเจนนั้นทำได้ยาก เพราะผู้ประกอบการได้เก็บสารผิดมาตรฐานของการนำสารเคมีมากำจัด โดยนำสารเคมีมาผสมคลุกเคล้ากันจนไม่รู้ว่ามีชนิดใดบ้าง
ส่วนความเกี่ยวข้องกับโรงงานเก็บสารเคมี 4,000 ตันที่อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โกเมนระบุว่า จากข้อมูลทราบว่าเป็นกลุ่มเจ้าของโรงงานเดียวกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบในรายละเอียด
เมื่อถามว่าโรงงานนี้ถูกตัดไฟฟ้าแล้วจริงหรือไม่ โกเมนระบุว่า ไฟฟ้าถูกตัดมา 2 เดือน แต่โอกาสที่เพลิงไหม้จะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือไม่ต้องรอพนักงานสอบสวน ส่วนสารเคมีที่เก็บไว้นั้นมีโอกาสจะปะทุความร้อนเองหรือไม่ต้องให้นักวิชาการมาประเมินตรวจสอบ
ขณะที่ สุนทร อุปมาณ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการพิเศษ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพอากาศในช่วงเช้าวันนี้ว่า พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบคือบริเวณท้ายลม รัศมี 4-5 กิโลเมตร ยังคงได้กลิ่นสารเคมีอยู่ แต่ถือว่าคุณภาพอากาศดีกว่าเมื่อวานนี้ เนื่องจากเปลวเพลิงได้ลดลงแล้วเหลือเพียงแต่กลุ่มควันบางๆ ซึ่งอากาศถือว่าไม่เกินค่ามาตรฐาน ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ประชาชนสามารถที่จะกลับเข้าที่พักได้ แต่อาจจะยังได้กลิ่นสารเคมีบ้างไปจนกว่าควันจะหายไปทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมมลพิษแนะนำให้ประชาชนอยู่ในพื้นที่เหนือลมและหากเกิดอาการผิดปกติต่อร่างกาย รู้สึกอึดอัด แสบหู แสบตา ให้รีบไปพบแพทย์ โดยมีจุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นอยู่ที่ อบต.บางบุตร ซึ่งกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กอาจได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่นที่ร่างกายแข็งแรง
ส่วนเรื่องสารเคมีที่อาจปนเปื้อนไปกับน้ำที่ใช้ดับเพลิงนั้น ขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ลงไปเก็บตัวอย่างน้ำแล้ว แต่จากการตรวจสอบพบว่าด้านหลังโรงงานมีเขื่อนกั้นน้ำที่มีระบบบำบัดรองรับอยู่แล้ว จึงคิดว่าไม่น่าเป็นกังวลมากนัก