- จับตาตัวเลขเศรษฐกิจ โดยวันนี้สหรัฐฯ มีกำหนดประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกประจำสัปดาห์ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 1.3 ล้านตำแหน่ง ทรงตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า หลังจากที่ลดลงต่อเนื่อง 15 สัปดาห์ จากการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 1 และโอกาสการปิดเมืองเพื่อรับมือการแพร่ระบาดที่ลดลง จากขีดความสามารถการรักษาที่สูงขึ้น
- วานนี้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกคำสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตัน ซึ่งเป็น 1 ใน 6 ของสถานทูตและสถานกงสุลจีนในสหรัฐฯ ภายในสัปดาห์นี้ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลส่วนบุคคลชาวอเมริกัน เนื่องจากทางการจีนใช้วิธีทางลับในการสืบและหาข้อมูลในสหรัฐฯ รวมไปถึงคุกคามทรัพย์สินทางปัญญา ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการคุกคามประชาชน และทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากต้องสูญเสียงาน ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกมาตอบโต้ พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวโดยทันที มิฉะนั้นจีนจะตอบโต้อย่างเด็ดขาด
- จีนระบุ การให้ชาวฮ่องกงขอสัญชาติอังกฤษได้ คือการแทรกแซงกิจการภายในจีน โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลอังกฤษประกาศให้ชาวฮ่องกงที่ถือครองวีซ่าประเทศอังกฤษ สามารถยื่นขอสัญชาติได้ในช่วงเดือนมกราคม 2564 เป็นต้นไปนั้น ล่าสุด สถานทูตจีนในลอนดอนได้ออกมาตอบโต้ท่าทีดังกล่าวว่า เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางการจีนจะไม่ยินยอม พร้อมเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าวทันที มิฉะนั้นจะตอบโต้อย่างรุนแรง
- วานนี้บริษัท Microsoft ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/20 ออกมามีรายได้ 38,030 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 13% (YoY) มีกำไร 1.46 ดอลลาร์ต่อหุ้น หดตัว 15% (YoY) แต่ยังดีกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ยอดขาย 36,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไรต่อหุ้น 1.34 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยรายได้จากธุรกิจ Cloud ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ระดับ 17% (YoY) สวนทางรายได้จาก LinkedIn ที่ขยายตัวเพียง 10% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 สะท้อนตลาดแรงงานที่ซบเซาในช่วงที่ผ่านมา เช่นเดียวกับงบโฆษณาที่ลดลง พร้อมทั้งคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 3/20 อยู่ที่ 35,610 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ +8% (YoY)
- ด้าน Tesla ประกาศรายได้ที่ 6,040 ดอลลาร์สหรัฐ กำไรสุทธิ 104 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำไรต่อหุ้น 2.18 ดอลลาร์ต่อหุ้น มากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเป็นการมีกำไร 4 ไตรมาสต่อเนื่อง โดยเป็นรายได้จากการขายรถยนต์ที่ 5,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 4% (YoY) แม้ Tesla จะขยายกำลังการผลิตและแบบรถ ซึ่งส่งผลให้ Tesla ยังทำยอดการส่งรถได้มากกว่าคาดก็ตาม
ภาวะตลาดวานนี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังที่ทางทำเนียบขาวและสภาคองเกรสจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่วงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐได้ในเร็วๆ นี้ สวนทางกันกับตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับลงจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกกลับไปชะลอตัวอีกครั้ง
- สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงจากสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกันกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง บ่งชี้ถึงปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่อาจไม่ได้ฟื้นตัวมากนักจากการคลายมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงที่ผ่านมา ด้านสัญญาทองคำปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี จากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมไปถึงการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยจากความกังวลดังกล่าว
สหรัฐฯ
- Dow Jones อยู่ที่ 27005.84 เพิ่มขึ้น 165.44 (0.62%)
- S&P 500 อยู่ที่ 3276.02 เพิ่มขึ้น 18.72 (0.57%)
- Nasdaq อยู่ที่ 10706.13 เพิ่มขึ้น 25.76 (0.24%)
ยุโรป
- DAX อยู่ที่ 13104.25 ลดลง -67.58 (-0.51%)
- FTSE 100 อยู่ที่ 6207.1 ลดลง -62.63 (-1%)
- Euro Stoxx 50 อยู่ที่ 3370.76 ลดลง -34.59 (-1.02%)
- FTSE MIB อยู่ที่ 20598.78 ลดลง -124.64 (-0.6%)
เอเชีย
- Nikkei 225 อยู่ที่ 22751.61 ลดลง -132.61 (-0.58%)
- S&P/ASX 200 อยู่ที่ 6075.1 ลดลง -81.2 (-1.32%)
- Shanghai อยู่ที่ 3333.16 เพิ่มขึ้น 12.27 (0.37%)
- SZSE Component อยู่ที่ 13657.03 เพิ่มขึ้น 120.86 (0.89%)
- China A50 อยู่ที่ 15545.88 เพิ่มขึ้น 53.67 (0.35%)
- Hang Seng อยู่ที่ 25057.94 ลดลง -577.72 (-2.25%)
- Taiwan Weighted อยู่ที่ 12473.27 เพิ่มขึ้น 75.72 (0.61%)
- SET อยู่ที่ 1357.04 ลดลง -19.96 (-1.45%)
- KOSPI อยู่ที่ 2228.66 ลดลง -0.17 (-0.01%)
- IDX Composite อยู่ที่ 5110.19 ลดลง -4.52 (-0.09%)
- BSE Sensex อยู่ที่ 37871.52 ลดลง -58.81 (-0.16%)
- PSEi Composite อยู่ที่ 6064.26 ลดลง -72.05 (-1.17%)
Commodity
- ราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 41.97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.38 (0.91%)
- ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ 44.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.41 (0.93%)
- ราคาทองคำ อยู่ที่ 1869.82 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 26.64 (1.45%)
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- InfoQuest
- Bloomberg
- Investing
- CNBC
- Reuters