คลังพร้อมทบทวนรื้อเกณฑ์ ‘TISA’ ก่อนดันเข้า ครม. ปีนี้ เลขา ก.ล.ต. ชี้เลขตัวคูณมีอีกหลายชุด ยัน TISA ส่งเสริมตลาดทุนไทย ยังไม่เปิดให้ลงใน DR หรือ Private Equity
วันนี้ (11 ธันวาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า โครงการบัญชีการออมส่วนบุคคล (Thailand Individual Saving Account :TISA) ได้มีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) เบื้องต้นแล้ว ซึ่งเป็นการวางกรอบกว้างๆ หากมีตรงไหนที่ปรับให้ดีขึ้นได้ก็พร้อมที่จะทำ
พร้อมระบุว่า เจตนาของการออกมาตรการเพื่อการออม ไม่ได้ต้องการให้ใครเสียผลประโยชน์ หรือคิดผลทางการเมือง แต่มีความต้องการเพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงินให้กับประชาชนไทย โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย และผู้สูงวัยที่ไม่มีหลักประกันในชีวิต รัฐบาลจึงได้ดึงเครื่องมือเท่าที่มี เพื่อส่งเสริมการออม ไม่ว่าจะเป็นการใช้แรงจูงใจทางภาษี พันธบัตรรัฐบาล และประกันออกเป็นมาตรการต่างๆ
ทั้งนี้ ดร.เอกนิติระบุว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลเลือกให้แรงจูงใจเพื่อลดหย่อนภาษีแบบผิดๆ จนเกิดการบิดเบือนตลาด โดยยกตัวอย่างของการต้องคอยต่ออายุกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เพราะกลัวว่าตลาดหุ้นจะร่วง แม้ว่ากองทุนที่ถืออยู่จะขาดทุนสูงถึง 30% ก็ตาม
ดังนั้น เพื่อยกเลิกการบิดเบือนตลาด และสร้างแรงจูงใจทางการออมในระยะยาว ดร.เอกนิติ จึงเสนอโครงการบัญชีการออมส่วนบุคคล (TISA) ซึ่งเป็นโครงการที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) ดำเนินการศึกษามากว่า 2 ปี
ด้วยเหตุนี้ ดร.เอกนิติ จึงเสนอขยายสิทธิลดหย่อนเป็น 800,000 บาท เพื่อตัดปัญหาว่า ปีต่อไปจะมีการต่อขยายกองทุน Thai ESG หรือไม่ โดยในช่วงเปลี่ยนผ่าน จะมีการให้แต้มต่อสำหรับผู้ซื้อกองทุน Thai ESG ให้หักลดหย่อนได้ 1.2 เท่าแทน
นอกจากนี้ ยังมีการยกเลิกเพดานการซื้อกองทุน ซึ่งจำกัดไว้ที่ 30% ของรายได้ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงการลงทุนได้ นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อปลดล็อกให้รับ ‘เงินบำนาญงวดแรกเป็นเงินก้อน’ ได้ 30% อีกด้วย
สำหรับมาตรการ ‘ออม พลัส’ พันธบัตร มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ส่งเสริมให้ประชาชนรายย่อยสามารถเข้าถึงหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงได้มากขึ้น จากระดับปัจจุบันที่มีสัดส่วนการถือครองโดยรายย่อยเพียง 5.2% โดยจะมีการเปิดขายทุกเดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวาคม 2569 ในราคาขั้นต่ำ 1,000 บาท
ไม่เพียงเท่านั้น จากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา ดร.เอกนิติพบว่าประชาชนส่วนใหญ่แทบไม่มีประกันภัยคุ้มครองเลย และรัฐบาลต้องใช้เงินเยียวยาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนสามารถดูแลตัวเองได้ รัฐบาลจึงตัดสินใจเดินหน้าลดอากร เพื่อผลักดัน ‘Micro Insurance’ ทั้งประกันวินาศภัย และประกันการเดินทาง
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะปลดเกณฑ์เพื่อให้บริษัทประกันสามารถเข้าไปลงทุนในตลาดทุนได้ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การคุ้มครองผู้ซื้อประกันที่สูงขึ้นด้วย ทั้งหมดนี้จะทำให้ตลาดทุนโตขึ้น และเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันความเสี่ยงได้ในระยะยาว
เลขา ก.ล.ต. เลขตัวคูณมีอีกหลายชุด
ในการร่วมให้ข้อมูลภาพรวมและข้อมูลทางเทคนิคของมาตรการเพิ่มการออมของประชาชน ทาง ศ.ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อธิบายเกี่ยวกับตัวคูณการลดหย่อนภาษีที่มีทั้งอัตรา 0.7 เท่า และ 1.3 เท่า ว่า หากดูตัวเลขเพียงส่วนเดียว ผู้มีรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านอาจรู้สึกว่า ‘ถูกลดทอนสิทธิ’
อย่างไรก็ตาม แนะให้ผู้มีรายได้สูงพิจารณาโครงการเป็นแพ็กเกจ เนื่องจากยังมีชุดตัวเลขอีกหลายคู่ ที่ยังอยู่ในการพิจารณา โดยตัวคูณมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการลงทุนบางส่วนที่รัฐต้องการส่งเสริมเท่านั้น
นอกจากนี้ พรอนงค์ยังได้ระบุถึงการเปิดทางให้สามารถนำสินทรัพย์ในบัญชี TISA ไปเป็นหลักประกันเงินกู้ (Pledge) กับสถาบันการเงินบางประเภทได้ในอนาคต ซึ่งจะคล้ายโมเดลของสิงคโปร์และมาเลเซียที่ใช้กองทุนเกษียณเป็นหลักประกัน แต่ยังมีเงื่อนไขที่ต้องกำหนด เช่น สัดส่วนที่จำนำได้ 25% ของพอร์ต ตลอดจนความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการลงทุน และความปลอดภัยของผู้ลงทุนรายย่อย
TISA ลงทุนนอกไม่ได้
สำหรับผลิตภัณฑ์ DR (Depositary Receipt) นั้น พรอนงค์ ระบุว่า ณ ปัจจุบันยังไม่ถูกบรรจุในแพ็กเกจ TISA สำหรับการลงทุนรายตัว (Direct Investment) เนื่องจาก DR มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้นต่างประเทศ ซึ่งหากผู้ลงทุนต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังต่างประเทศ ภาครัฐและ ก.ล.ต. สนับสนุนให้ลงทุนผ่าน กองทุนรวม (เช่น RMF) แทน เพื่อให้มีการบริหารจัดการและการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมตามนโยบายปัจจุบัน ส่วนการเปิดให้ลงทุนรายตัวใน TISA จะเน้นไปที่หุ้นไทยและสินทรัพย์ในประเทศเป็นหลัก
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Market) เช่น หุ้นนอกตลาด หรือ Private Equity นั้น ไม่อยู่ในขอบเขตการส่งเสริมของบัญชี TISA ในขณะนี้ โดยพรอนงค์ระบุชัดเจนว่า ต้องการเน้นส่งเสริมการลงทุนใน ตลาดทุนในระบบ (Listed Market) เช่น หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผ่านเกณฑ์ด้าน ESG หรือธรรมาภิบาล, กองทุนรวม และพันธบัตร เพื่อให้มั่นใจเรื่องการกำกับดูแล ความโปร่งใส และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านกลไกตลาดทุนเป็นหลัก
เร่งชงเข้า ครม. สิ้นปีนี้
สุดท้ายนี้ ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังตั้งเป้าเสนอโครงการ TISA เข้าที่ประชุม ครม.ให้ทันภายในเดือน ธันวาคม 2568 นี้ เพื่อให้มาตรการมีผลบังคับใช้ได้ทัน ปีภาษี 2569
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติจะใช้หลักการ ‘ความพร้อมของระบบ’ (Phased Implementation) โดยคาดว่าการใช้สิทธิลดหย่อนผ่านผลิตภัณฑ์พื้นฐานอาจเริ่มได้ในช่วงต้นปี แต่สำหรับการ ลงทุนรายตัว (Direct Investment) เช่น การซื้อหุ้นและพันธบัตรผ่านระบบดิจิทัล คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้จริงประมาณ 1 กรกฎาคม 2568 เนื่องจากต้องรอการพัฒนาระบบรองรับให้สมบูรณ์เสียก่อน
ส่วนกระแสข่าวถึงการคัดค้านอัตราการลดหย่อนระหว่างผู้มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท หักลดหย่อนภาษีได้ 1.3 เท่า และผู้มีรายได้เกินกว่า 1.5 ล้านบาท ลดหย่อนได้ 0.7 เท่านั้น ในตัวเลขดังกล่าว ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาให้รอบคอบและเหมาะสม โดยตราบใดที่ยังไม่เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังคงปรับได้ โดยยืนยันว่า ตัวเลขที่จะออกมานั้น จะเป็นตัวคูณที่เหมาะสมอย่างแน่นอน


