รองนายกฯ และ รมว.คลังยังอุบ วันเดินทางเจรจาสหรัฐฯ ย้ำยึดหลักการเจรจา ‘ไทย-สหรัฐฯ’ ต้องได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่ตามใจสหรัฐฯ ไปทุกอย่าง ชี้การลดภาษีให้สหรัฐฯ เหลือ 0% ‘ไม่ใช่คำตอบ’
วันนี้ (9 เมษายน) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในรายการ ‘กรรมกรข่าว คุยนอกจอ’ โดยระบุว่า จังหวะเวลาของการเดินทางไปเจรจากับสหรัฐฯ ‘ควรจะเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม’ แต่ยังไม่เปิดเผยวันเดินทางไปเจรจา นอกจากนี้ยังกล่าวว่า สิ่งที่ไทยจะนำไปหารือ ถึงแม้จะเป็นแค่กรอบ แต่ควรจะเป็นกรอบที่สหรัฐฯ และไทยได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และทั้งสองฝ่ายปฏิบัติได้จริง
“ต้องมีการทำงานก่อน สิ่งที่จะไปคุยกันต้องทำให้เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายแล้วแก้ปัญหาได้ เป็น Possible Solution เป็นทางแก้ปัญหาที่ทำได้” พิชัยกล่าวอีกว่า “แผนทุกอย่างต้องเหมาะสม ไม่ใช่มาคราวนี้เราถูกบีบเลยต้องตามใจเขา เราจะเลือกทำเฉพาะสิ่งที่เราไม่เสียหายและต้องได้ประโยชน์ด้วย”
พิชัยเปิดเผยอีกว่า ย้อนกลับไปตอนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ตอนนั้นตนนั่งฟังอยู่ที่บ้าน “ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงแถลง แต่แปลกใจว่าทำไมถึงมีมาตรการที่ใหญ่กว่าที่คิด และก็แปลกใจว่าทำไมบ้านเราถึงโดน 36% กัมพูชา 49% พอมานั่งดูตอนเช้าตกผลึกก็จึงเข้าใจว่า ทำไมเขาประกาศแบบนั้น”
โดยอธิบายเพิ่มว่า หากทำความเข้าใจว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้าจากไทยขึ้นไปที่ 36% เนื่องจากสหรัฐฯ เสียดุลการค้ากับประเทศทั่วโลกหลัก 100 ประเทศมายาวนาน และสะสมต่อเนื่อง ด้วยสาเหตุมาจากสหรัฐฯ มีแนวคิดตั้งศูนย์ผลิตสินค้าไว้นอกประเทศ เนื่องจากมีต้นทุนถูกกว่า ค่าจ้างแรงงานถูกกว่า ซึ่งทำให้วันนี้รายได้คนอเมริกันเริ่มน้อยลงและไม่เพียงพอ และทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าหนัก ท่ามกลางภาวะหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สูงอย่างมาก ทำให้ทรัมป์ต้องเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาที่ ‘หนัก’ ตาม
ย้ำการลดภาษีให้เหลือ 0% ‘ไม่ใช่คำตอบ’
ท่ามกลางการตั้งข้อสังเกตของหลายฝ่ายว่า รัฐบาลตอบโต้หรือรับมือได้ช้ากว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการติดวันหยุดยาว พิชัยยืนยันว่า รัฐบาลไม่เคยมีวันหยุด และรัฐบาลทำงานตลอดในช่วงวันหยุด สำหรับเหตุที่รัฐบาลยังไม่ตอบสนองไปเลย เนื่องจากรัฐบาลกำลังพิจารณาอยู่ว่า การยื่นข้อเสนอว่า จะลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% ‘ไม่ใช่คำตอบ’ เห็นได้จากการที่สหรัฐฯ ไม่ตกลงกับข้อเสนอจากเวียดนาม
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องอัตราว่า จะลดลงเหลือเท่าไร อย่าลืมว่าโจทย์เขา (สหรัฐฯ) คือ เขาซื้อมากกว่าขายมาเป็นเวลายาวนาน ก่อให้เกิดปัญหาทั้งประเทศ” พิชัยกล่าว
สำหรับประเด็นที่ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียต่อสายคุยกับผู้นำอาเซียนอีก 4 ประเทศ แต่ไม่มีประเทศไทย พิชัยตอบว่า ไทยได้พูดคุยกับอาเซียนอยู่แล้ว แต่ถึงแม้อาเซียนจะทำงานร่วมกัน แต่ลักษณะแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ดังนั้นการแก้ปัญหาเพื่อบรรลุผลประโยชน์ร่วมกัน ระหว่างสหรัฐฯ กับแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น สหรัฐฯ และมาเลเซียมีก๊าซธรรมชาติเยอะ จึงเป็นคู่แข่งกันในด้านนี้ แต่ไทยขาดยังก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น
ตัวอย่างสินค้าที่ไทยอาจนำเข้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ภายใต้กลยุทธ์ Win-Win
พิชัยกล่าวอีกว่า ปัจจุบันไทยใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 4.9 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยเราได้จากอ่าวไทยประมาณ 2.2 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แปลว่า ไทยซื้อก๊าซธรรมชาติมาจากตลาดโลกมากกว่าครึ่ง กล่าวคือไทยต้องนำเข้า 2.7 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ผ่านสัญญาระยะยาวและ Spot ที่ซื้อเป็นครั้งๆ ซึ่งช่วงหลังๆ Spot มีความนิยมมากกว่า
ขณะที่วันนี้สหรัฐฯ มีก๊าซธรรมชาติเยอะ ทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ จึงถูกกว่าไทยเสียอีก แพงที่ค่าสายส่งเท่านั้น ตอนนี้ไทยจึงเหลือเรื่องเดียวที่ต้องทำการบ้าน คือค่าขนส่งจะไปอยู่ที่เท่าไร รวมๆ แล้วสู้ได้หรือไม่ โดยตอนนี้จากการศึกษาเบื้องต้นก็มีความเป็นไปได้ว่าราคาจะแข่งขันได้
“ในอนาคตถ้าเราจะซื้อยาวๆ ก็ได้ข่าวว่าสหรัฐฯ จะไปผลิตหรือสำรวจที่อลาสก้า ซึ่งติดทะเล นับว่าดีกว่า เนื่องจากถ้านำเข้าก๊าซธรรมชาติอยู่กลางประเทศจะขนส่งยากกว่า ต้องผ่านท่อ นอกจากนี้ไทยก็มีบริษัทขุดเจาะ ฉะนั้นไทยจะสามารถเข้าไปลงทุนในอลาสก้าด้วยได้หรือไม่” พิชัยกล่าว
นอกจากก๊าซธรรมชาติแล้ว พิชัยยังกล่าวว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ มีข้าวโพดเหลือและไทยต้องการนำเข้า จึงกำลังเช็กราคาว่าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ถูกกว่าประเทศที่ไทยนำเข้าปัจจุบันหรือไม่ โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่า ราคาข้าวโพดจากสหรัฐฯ ถูกกว่าประเทศที่เรานำเข้าปัจจุบันจริง
“วันนี้ไทยผลิตอาหารแปรรูปสัตว์ได้ 20 ล้านตัน ซึ่งไทยต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราว 9 ล้านตัน แต่ไทยสามารถผลิตได้ 5 ล้านตัน วันนี้ถ้าเราแบ่ง 4 ล้านตันบางส่วนที่เราต้องนำเข้า ไปนำเข้าจากสหรัฐฯ แต่ราคาต้องแข่งขันได้นี่เป็นกติกาที่จำเป็น” พิชัยกล่าว พร้อมย้ำว่ายังมีสินค้าอีกหลายประเทศที่อยู่ในแผนและยังไม่ได้พูดถึง
