ท่าทีของ อองตวน กรีซมันน์ สงบนิ่งมากกว่าปกติ
ความจริงตลอดทั้งฟุตบอลโลกครั้งนี้เขาก็ดูนิ่งจนผิดสังเกต ไม่ว่าจะด้วยสีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่ถ้อยคำ เรื่อยไปจนถึงการเล่นในสนามที่แปลกตาไม่เหมือนกองหน้าจ้าวพายุคนเก่าที่เคยเห็นตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
อาจเป็นเพราะ กรีซมันน์ ตั้งใจกับฟุตบอลโลกครั้งนี้มากเป็นพิเศษ หลังจากที่หัวใจสลายเมื่อต้องพลาดการคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2016 บนมาตุภูมิของตัวเอง
และอาจเป็นเพราะเขารู้ว่าหากเขายิงลูกจุดโทษลูกนี้เข้า ฝรั่งเศสจะเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกได้อย่างแน่นอน
ความจริงจุดโทษลูกนี้ก็มีคำถามพอสมควร บนความโชคดีของฝรั่งเศส และความโชคร้ายของโครเอเชียที่ลูกบอลนั้นไปโดนแขนของ อีวาน เปริซิช เข้าพอดี หลังก่อนหน้านี้เพิ่งจะทำประตูตีเสมอให้กับทีมตาหมากรุกได้ไม่นาน ปลุกไฟความหวังให้ลุกขึ้นอีกครั้งหลัง มาริโอ มานด์ซูคิช โหม่งทำประตูตัวเองแบบโชคร้ายตั้งแต่ต้นเกม
จากลูกเตะมุมของ กรีซมันน์ บอลที่ข้ามหัว แบลส มาตุยดี ไปโดนแขนของเปริซิช ที่เหมือนตกใจและพยายามจะหุบแขนแต่จากท่าทางที่ปรากฏในภาพ VAR แล้ว การที่ เนสเตอร์ ปิตานา จะตัดสินให้เป็นจุดโทษก็พอจะมีความเข้าใจได้
แต่แน่นอนการตัดสินบนความไม่ชัดเจนเช่นนี้ย่อมมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยจำนวนมาก และการตัดสินครั้งนี้ของ ปิตานา กลายเป็นรอยด่างพร้อยที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ VAR ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ทั้งๆ ที่มันทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมตลอดรายการ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วคนที่ตัดสินสุดท้ายคือผู้ตัดสินชาวอาร์เจนตินา
อย่างไรก็ดีเมื่อตัดสินไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
กรีซมันน์ ไม่สนใจอะไรมากไปกว่าการส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย และเขาไม่พลาด
ประตูกลับมานำอีกครั้งของฝรั่งเศส กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดของเกม เพราะมันเป็นการจับความหวังของโครเอเชียไปฝังทั้งเป็น ลำพังแค่ต่อสู้ในสถานการณ์ที่เท่าเทียมกันนั้นก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว กับการต้องเสีย 2 ประตูเหมือนคนอับโชคยิ่งเป็นเรื่องยากมากเข้าไปอีก
สิ่งที่ดีที่สุดในเกมนี้ที่โครเอเชียทำได้คือการพยายามต่อสู้อย่างถึงที่สุด ไม่ยอมถอดใจง่ายๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่ามันยากเกินกว่าที่พวกเขาจะสร้างปาฏิหาริย์ได้
ฝรั่งเศส เก่งและแกร่งกว่าอย่างชัดเจน พวกเขาคือทีมที่ดีกว่าและสมควรเป็นผู้ชนะ
ความจริงพวกเราก็รู้กันอยู่ว่า ด้วยขุมกำลังที่มี ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เหมือนคนตกถังข้าวสาร เขามีผู้เล่นฝีเท้ายอดเยี่ยมอยู่มากมายเต็มทีมไปหมด
จะหยิบจับใครมาใช้ ผลงานก็ยังเป็นไปตามที่ปรารถนาได้ทั้งนั้น
ก่อนหน้านี้เขาเผชิญกับเสียงนินทาปรามาศ ว่าอดีตกัปตันทีมชาติฝรั่งเศส ชายจากเมืองน้ำหอมคนแรกที่ได้ชูถ้วยสีทองของฟีฟ่าเมื่อ 20 ปีก่อน ถึงจะมีของดีมากมายในทีมแต่ใช้งานไม่เป็น
เมื่อฟุตบอลโลกครั้งนี้จบลงทุกอย่างเหมือนจะตรงกันข้าม เดส์ชองส์ แสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถในการบริหารจัดการทีม มีแนวทางการเล่นที่ชัดเจน และมีทักษะในการแก้ไขสถานการณ์ของทีมได้อย่างดี
ในช่วงต้นของฟุตบอลโลก ฝรั่งเศส เล่นไม่เป็นโล้เป็นพาย ก็เป็นเขาที่ขัดใจทุกคนเลือก โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงมาเป็นเสาหลักในแดนหน้า ทำให้นักเตะอย่าง กรีซมันน์ และ คีเลียน เอ็มบัปเป ได้แสดงความสามารถที่แท้จริงของพวกเขาออกมา
ผลที่ได้คือฝรั่งเศสมีเกมรุกที่อันตราย โดยที่ไม่จำเป็นต้องหวังพึ่งประตูจากศูนย์หน้ามือสะอาดอย่างชิรูด์เลยด้วยซ้ำ
ความจริงมันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับฝรั่งเศส ในชุดที่เดส์ชองส์ยังเป็นกัปตันทีมมาแล้ว และเขาเดินตามรอยของ เอ็มเม ฌักเกต์ นายเก่าและครูผู้ยิ่งใหญ่ของวงการฟุตบอลฝรั่งเศสได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
ในเกมรอบชิงชนะเลิศ ในขณะที่ โครเอเชีย พยายามรวบรวมเกมกลับมาในครึ่งหลัง เดส์ชองส์ ถอดเอา เอ็นโกโล ก็องเต มิดฟิลด์กันชนอันดับหนึ่งของโลกออกกลางคันท่ามกลางความสงสัยของคนทั้งโลก และส่ง สตีเวน เอ็นซองซี กองกลางที่มีความครบเครื่องมากกว่าลงมาแทน
ผลคือเกมแดนกลางที่เคยเสียเปรียบของฝรั่งเศส เพราะก็องเต ไม่สามารถยึดพื้นที่ทำลายเกมได้ กลับมาเป็นพวกเขาที่บงการทุกอย่างเอาไว้ได้เหมือนเดิม
เดส์ชองส์ หรือ กรีซมันน์ เป็นเพียงตัวอย่างของฝรั่งเศส ทีมที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมและเติบโตอย่างสง่างามในฟุตบอลโลกครั้งนี้
ฟุตบอลโลกที่เราได้เห็นความมหัศจรรย์ของ เอ็มบัปเป ไอ้หนูวัย 19 ปีที่จะเป็นพายุสลาตันถล่มวงการลูกหนังในอีกสิบปีข้างหน้า
เห็น เอ็มบัปเป แล้วก็อดคิดถึง ‘โอ เฟโนเมโน’ โรนัลโด ต้นตำหรับขึ้นมาไม่ได้ คล้ายกันมากจริงๆ
ด้วยนักเตะอย่างเขา รวมถึงอีกหลายคนในทีม Les Bleus ที่ยังเติบโตและแกร่งขึ้นได้อีกมาก การจะหาทีมมาล้มพวกเขาให้ได้ในฟุตบอลโลกอีก 4 ปีข้างหน้า ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
แต่ฝรั่งเศส จะไปได้ไกลถึงไหนกันนั้น เราคงต้องติดตาม
หลังเกมจบลง ซลัตโก ดาลิช นายใหญ่โครเอเชียผู้เงียบขรึมเรียกลูกทีมทุกคนมารวมตัวกันที่ข้างสนาม ด้านหลังประตูที่มีกองเชียร์ในชุดตารางสีแดงขาวนับร้อยนับพันยืนอยู่และไม่ยอมลุกหนีไปไหน
ดาลิช ขอให้ทุกคนกอดคอกัน ก่อนที่จะกล่าวคำพูดจากใจให้แก่ลูกทีมของเขาทุกคน
สิ้นเสียงของดาลิช น้ำจากสองตาของนักเตะทุกคนนั้นไหลพรั่งพรูราวกับน้ำพุแห่งความเปลี่ยวดายที่ไม่มีวันหมด และไม่ต่างกับเหล่ากองเชียร์ที่ลุกขึ้นยืนปรบมือให้เพื่อเป็นการให้เกียรติสูงสุดแก่เหล่านักรบลูกหลานของพวกเขาที่ต่อสู้อย่างดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้แล้ว
ลูกา โมดริช ได้รับรางวัลลูกฟุตบอลทองคำ เครื่องหมายของนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ซึ่งแม้จะเหมือนเป็นรางวัลปลอบใจ และเขาไม่ใคร่ยินดีนักที่จะรับในทีแรก
แต่เมื่อเวลาผ่าน พายุอารมณ์สงบ โมดริช ก็ยอมรับความจริงว่าถึงพวกเขาจะไปไม่ถึงฝัน แต่อย่างน้อยก็ได้พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อคนอีก 4.5 ล้านคนในประเทศที่ส่งกำลังใจมาให้เสมอ
ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
ในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน ที่จตุรัสเยลาซิค ใจกลางเมืองซาเกร็บ แฟนบอลในชุดขาวแดงต่างพากันร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน น้ำเสียงที่เปล่งมาบ่งบอกถึงความภูมิใจในทีมของพวกเขาที่สู้ได้น่ายกย่อง แม้จะมีคราบน้ำตาบนใบหน้าก็ตาม
อีกฟากหนึ่งของยุโรปที่หน้าหอไอเฟล ประตูชัย เรื่อยไปจนถึงฌ็องเซลิเซ แฟนฟุตบอลฝรั่งเศสผู้ชนะในวันนี้ได้เฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่กับดาวดวงที่สองบนอกเสื้อทีมชาติของพวกเขา
ที่มอสโกก็เช่นกัน ฉลองกันอย่างไม่รู้วันและคืน
แต่การฉลองและร้องรำนั้นย่อมมีวันสิ้นสุด ไม่นานเสียงเหล่านั้นย่อมมีวันเงียบลง
เมื่อฟ้าแจ้งในพรุ่งนี้เช้าเรื่องเหล่านี้ก็กลายเป็นวันเก่า และเราทุกคนก็จะกลับไปใช้ชีวิตกันตามปกติ
เพียงแต่เรายังเหลือเรื่องราว เรื่องเล่า และความทรงจำของฟุตบอลโลกที่รัสเซีย
ฟุตบอลโลกที่สวยสดและงดงามที่สุดครั้งหนึ่งในช่วงชีวิต
Спасибо
ขอบคุณนะ
До свидания
ลาก่อน
และ До встречи
แล้วพบกันใหม่ 🙂
Photo: Reuters