ผ่านไปแล้ว 48 จาก 64 นัดครับ เรียกว่าเป็นจำนวนเกือบค่อนของแมตช์ในฟุตบอลโลกที่ผ่านพ้นไป
เพียงแต่ 48 นัดที่ผ่านมานั้นคือฟุตบอลโลกที่เป็นเหมือน ‘มหกรรม’ ของคนทั้งโลกมากกว่า กับภาพของกองเชียร์นานาประเทศจากทั่วโลกที่เดินทางมาร่วมกันแต่งแต้มสีสันที่สวยงามให้กับรัสเซีย โดยเฉพาะกองเชียร์บางชาติที่สร้างความประทับใจมากเป็นพิเศษ
พูดแล้วก็คิดถึงกองเชียร์เปรูกับเรื่องราวของความตั้งใจที่จะมาเชียร์ทีมชาติให้ได้แม้ว่าจะต้องเสียสละอะไรมากมาย หรือกองเชียร์ญี่ปุ่นและเซเนกัลที่แสดงให้เห็นถึงความมีอารยะด้วยการช่วยกันเก็บขยะหลังจบเกมการแข่งขัน ไม่ว่าผลการแข่งในสนามจะมอบรอยยิ้มหรือน้ำตาให้ก็ตาม
ช่วงระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงที่ฟุตบอลโลกนั้นเต็มไปด้วยสีสันมากที่สุดครับ และโดยส่วนตัวสำหรับผมก็เป็นช่วงที่สนุกที่สุดด้วยเช่นกัน
ทีนี้ที่เหลืออีก 16 นัดนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่ 15 กรกฎาคมซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการแข่งขัน เราจะเข้าสู่การแข่งขันในรอบน็อกเอาต์ ซึ่งบรรยากาศและความจริงจังในการแข่งขันนั้นจะเป็นอีกระดับของการแข่งขันในรอบแรก
เราอาจจะบอกได้ว่ามันคือฟุตบอลโลกของจริงที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งและชาญฉลาดพอจริงๆ เท่านั้นจึงจะอยู่รอดได้
เมื่อลงไปในรายละเอียดแล้ว 8 คู่ในรอบ 16 ทีมนี้มี ‘สตอรี’ ที่น่าสนใจทั้งนั้นครับ
โดยเฉพาะคู่แรกคืนนี้ 21.00 น. เป็นเกมใหญ่ที่สุดของรอบนี้ อาร์เจนตินาที่โกงความตายหลบหลีกจากคมเคียวของพญามัจจุราชด้วยการเฉือนเอาชนะไนจีเรียในช่วงก่อนหมดเวลาแค่ 4 นาทีจะพบกับฝรั่งเศส ทีมเต็งที่ยังทำตัวไม่สมเป็นทีมเต็ง
ฟากของอาร์เจนตินา พวกเขาเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หลังย่ำแย่ในสองเกมแรกจนแทบไม่เหลือความหวัง ซึ่งเมื่อรอดมาได้ ความหวังนั้นก็กลับมาอีกครั้งครับ รวมถึงความฝันของนักฟุตบอลที่ใครหลายคนอยากเห็นเขาเป็นแชมป์โลกอย่างลิโอเนล เมสซี
บ้างก็ว่าปล่อยอาร์เจนตินารอดเข้ารอบนี้มาได้ก็ไม่ต่างอะไรจากการปล่อยเสือเข้าป่า
อย่างไรก็ดี หากประเมินเอาจากฟอร์มการเล่นในวันที่เอาชนะไนจีเรียมาได้นั้น ถึงจะเอาใจช่วยอยู่ค่อนข้างมากก็ต้องยอมรับว่างานของขุนพลฟ้าขาวนั้นลำบากเหมือนเดิมครับ หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
เพราะ 90 นาทีที่พวกเขาเจอกับไนจีเรีย มีเพียงแค่ 45 นาทีแรกเท่านั้นที่เล่นได้น่าประทับใจ แต่ก็เป็นความประทับใจที่แลกมาด้วยการทุ่มเททุกสิ่งอย่างและทุกหยาดหยดของพลังงานลงไป ซึ่งนั่นทำให้ในครึ่งหลัง โดยเฉพาะหลังจากที่โดนประตูตีเสมอแล้ว พวกเขาเหลือพลังในถังน้อยเต็มที
แม้กระทั่งเมสซีเองก็ยังจ่ายผิดจ่ายถูกให้เห็นบ่อยๆ
ฟอร์มแบบนี้เมื่อต้องมาเล่นในระดับของเกมที่สูงขึ้นไปอีกก็ทำให้กูรูหลายคนนั้นอดเป็นห่วงไม่ได้
จากที่ฟังความเห็นมา หลายคนบอกว่า ‘สงสัยจะไม่รอด’
โดยเฉพาะจุดอ่อนใหญ่ในเรื่องของเกมรับซึ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งช้าและเปราะบาง กลายเป็นนักเตะอย่างฮาเวียร์ มาสเคราโน ฮาร์ดแมนจอมเก๋าที่ต้องใช้พลังใจล้วนๆ ในการต่อสู้เพื่อปกป้องทีมเกือบจะลำพัง ซึ่งตรงนี้น่ากังวล เพราะด้วยวัยและสังขารแล้ว มาสเคราโนเล่นเกินตัวไปเยอะมาก
การต้องเจอกับฝรั่งเศสซึ่งยังคงเป็นทีมที่รอการเปล่งประกายอยู่ เพราะมีของดีอย่างคีเลียน เอ็มบัปเป้, อองตวน กรีซมันน์, อุสมาน เดมเบเล, พอล ป็อกบา, โทมัส เลอมาร์ ไปจนถึงตัวสำรองอย่างนาบิล เฟคีร์ และอาวุธหนัก โอลิวิเยร์ ชิรูด์ มันน่าคิดว่าอาร์เจนตินาจะหยุดนักเตะพวกนี้ได้ไหมและอย่างไร
ปัญหาของฝรั่งเศสที่ผ่านมาค่อนข้างชัดว่าอยู่ที่ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ โค้ชที่ไม่สามารถใช้งานทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ‘Les Bleus’ จึงกลายเป็นทีมที่ขาดความสมดุลและมีปัญหาในเรื่องของกำลังใจที่หากเจาะไม่เข้าแล้วก็มีอาการตีบตันทางความคิดให้เห็นบ่อยๆ
เพียงแต่มาถึงจุดนี้แล้ว เราอาจจะได้เห็นนักเตะตราไก่บางคนแสดงขีดความสามารถที่แท้จริงออกมาให้เห็น
เกมนี้เชื่อว่าฝรั่งเศสนั้นเป็นต่อครับ ถ้าเล่นกันตามเนื้อผ้า ว่ากันตามหน้าเสื่อ พวกเขามีโอกาสที่ดีกว่า
แต่บางครั้งฟุตบอลมันก็มีเรื่องที่เหนือความคาดหมาย ซึ่งเมื่อคิดถึงอาร์เจนตินาและเมสซีแล้ว ผมอดคิดถึงซีเนดีน ซีดาน จอมทัพบันลือโลกของทีมตราไก่ในฟุตบอลโลก 2006 ไม่ได้
ในปีนั้นซีดานประกาศว่าเขาจะอำลาวงการหลังจบฟุตบอลโลกที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งฝรั่งเศสในวันนั้นมีทีมที่ไม่ค่อยดีนัก ตัวเก๋าที่เคยพิชิตศึกใหญ่ในฟุตบอลโลก 1998 และยูโร 2002 เริ่มโรยรา โดยแทบไม่มีสายเลือดใหม่ขึ้นมาให้ฝากความหวังได้
ฝรั่งเศสในปีนั้นจบสองเกมแรกด้วยการเสมอกับสวิตเซอร์แลนด์และเกาหลีใต้ เรียกว่าสถานการณ์นั้นน่าเป็นห่วงอย่างมาก
แต่ในเกมสุดท้ายพวกเขาเอาชนะโตโกได้ ทำให้ได้ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ และหลังจากนั้นคือรายการ ‘Zidane Show’ เมื่อซีดานเริ่มวาดลวดลายของจอมศิลปินลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่ในสนามให้ทุกคนได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย
ในความรู้สึกส่วนตัว นั่นคือฟอร์มแห่งชีวิตของซีดานซึ่งเล่นได้เหนือกว่าในฟุตบอลโลก 1998 ที่พวกเขาได้แชมป์ด้วยซ้ำไปครับ
โดยเฉพาะในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พบกับบราซิล วันนั้นซีดานคนเดียว ‘สอนบอล’ บราซิลซึ่งมีทั้งโรนัลโด, โรนัลดินโญ, โรบินโญ และกาก้า ได้ทั้งทีม
ก่อนที่ซีดานจะนำฝรั่งเศสทะลุถึงรอบชิงฯ แต่มันกลับจบลงด้วยภาพที่แสนเศร้าของเขาที่ทำได้เพียงเดินผ่านโทรฟีแชมป์โลก หลังถูกใบแดงไล่ออกจากจังหวะ ‘โขกช็อกโลก’ ใส่มาร์โก มาเตรัซซี
มันก็น่าสนใจนะครับว่าเมสซีจะ ‘ไว้ลาย’ ได้มากน้อยแค่ไหนในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของเขา หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือครั้งสุดท้ายที่เขาจะมีโอกาสพาทีมเป็นแชมป์ด้วยตัวเอง
ซีดานในวันนั้นกำลังวังชาก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่เลือกใช้ทักษะทุกอย่างได้อย่างถูกต้องเหมาะสมที่สุด และที่สำคัญคือทุ่มเททุกอย่างสุดหัวใจ
ถ้าเมสซีทำอย่างนั้นได้บ้าง?
จากที่ได้เห็นในเกมหลังสุด เขาเริ่มปลดปล่อยความรู้สึกออกมาว่าเขาปรารถนาชัยชนะในรายการนี้แค่ไหนโดยเปลี่ยนจากการเอามือกุมขมับและยืนก้มหน้ามาเป็นการวิ่งไล่กวดบอล เสียบสกัด แกล้งนอนถ่วงเวลา
รวมถึงการโชว์ทักษะของคนที่เก่งที่สุดในโลกเหมือนในประตูแรกในเกมกับไนจีเรียที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น Thigh of Messi (เปรียบเทียบกับ Hand of God ของมาราโดนา) ที่ใช้ต้นขาพักบอลลงมาอย่างนุ่มนวล ก่อนจะจิ้มบอลในจังหวะที่ลูกกำลังจะลงพื้นพอดี ทำให้ฉีกหนีตัวประกบจนขาดวิ่นแล้วส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายด้วยการซัดเต็มเหนี่ยว
ผมคิดว่าเราอาจมีโอกาสได้เห็นบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในฟุตบอลโลกครั้งนี้
เพียงแต่อยู่ที่เขาครับว่าอยากให้เราได้เห็นอะไรแบบนั้นหรือเปล่า
Talking point
- คู่ดึกระหว่างอุรุกวัยและโปรตุเกส เราจะได้เห็นการดวลกันของหลุยส์ ซัวเรซ และคริสเตียโน โรนัลโด
- พูดกันว่ามันคือเกมขนาดย่อมของ ‘กลาสิโก’ และมาดริดดาร์บีครับ เพราะเราจะได้เห็นซัวเรซปะทะกับ เปเป้ (เอล กลาสิโก) และอีกคู่คือดิเอโก โกดิน กับโรนัลโด (เอล ดาร์บี) ซึ่งต่างก็เคยมีกรณีปะทะกันมาในสนามทั้งนั้น
- สถิติที่เหลือเชื่อคือทีมอุรุกวัยซึ่งขึ้นชื่อลือชาเรื่องความโหดได้รับใบเหลืองเพียงแค่ใบเดียวในฟุตบอลโลกหนนี้
- ฟอร์มการเล่นของสองทีมนี้ดูสวนทาง อุรุกวัยเหมือนไม่ค่อยดี แต่เครื่องเริ่มติดในเกมสุดท้ายของรอบแรกที่ถล่มรัสเซียเจ้าภาพ 3-0 ขณะที่โปรตุเกส โดยเฉพาะโรนัลโดเริ่มต้นเหมือนฝันในเกมโชว์สปิริตไล่ตีเสมอสเปน แต่หลังจากนั้นก็เริ่มแผ่วและเกือบตกรอบด้วยซ้ำ หากอิหร่านไม่ยิงเข้าข้างตาข่ายในช่วงวินาทีสุดท้ายของเกม
Photo: Reuters