เสียงนกหวีดแรกของ Russia 2018 ใกล้มาทุกขณะแล้ว กระแสฟุตบอลโลกครั้งใหม่กำลังจะเริ่มในวันที่ 14 มิถุนายนนี้
เมื่อถึงจุดที่ทุกคน ‘พร้อม’ สำหรับฟุตบอลโลกครั้งใหม่ มหกรรมกีฬาที่คนมากกว่า 3,000 ล้านคนจะเฝ้าติดตามชมตลอดระยะเวลา 1 เดือนของการแข่งขัน
ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่า ทำไมฟุตบอลโลกถึงมีความหมายและความสำคัญมากถึงเพียงนี้?
ทำไมฟุตบอลโลกถึงเป็น ‘ปรากฏการณ์’ ของสังคมโลก ที่คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ต่างถูกดึงดูดเข้าหากันแบบที่ไม่มีกีฬาใดในโลกที่ทำได้เสมอเหมือน
ฟุตบอลคือภาษาสากล
ฟุตบอล, Football, Futbol, Voetbal, Futebol, Fußball, Fotboll, Calcio หรือ Soccer ไม่ว่าจะเรียกชื่อของมันว่าอะไร ทั้งหมดนี้มีความหมายเดียวกันคือเกมฟุตบอล กีฬาที่ผู้เล่น 2 ฝ่าย ฝ่ายละ 11 คน จะต้องพยายามเอาชนะกันให้ได้ด้วยการส่งลูกบอลผ่านเส้นประตูให้ได้มากกว่าคู่แข่ง
ความเข้าใจง่ายของกติกาการเล่นพื้นฐาน ความต้องการพื้นฐานที่เรียบง่ายไม่มีอะไรมากไปกว่าลูกฟุตบอลหนึ่งลูกกับพื้นที่ว่างโล่งๆ เสาประตู 2 ฝั่ง (หากไม่มีอนุญาตให้ใช้อะไรก็ได้ ตั้งแต่ขวดพลาสติก, รองเท้า, กระเป๋า ฯลฯ มาตั้งแทน) และเพื่อนที่มีใจอยากจะลงวาดลวดลายไปด้วยกัน ทำให้ฟุตบอลได้รับความนิยมไปทั่วโลก
เป็นที่ยอมรับกันว่าฟุตบอลคือกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุด เป็นกีฬาที่มีผู้คนเล่นอยู่ทั่วทุกมุมของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะในสนามหญ้าที่สวยงามในไฮด์ ปาร์กที่อังกฤษ, สนามข้างถนนใน Favela แถบที่พักอาศัยที่แออัดของบราซิล, สนามลอยน้ำบนเกาะที่ห่างไกล, สนามบนยอดตึกในย่าน Shibuya หรือสนามฟุตบอลในรูปทรงที่ไม่น่าจะเป็นสนามฟุตบอลได้แต่ก็เป็นได้ และเป็นได้ดีด้วย อย่างโครงการ The Unusual Football Field ในย่านคลองเตยของบ้านเรา เรียกว่าอยู่ที่ไหนก็เล่นฟุตบอลได้
ฟุตบอลยังมีความพิเศษในการเป็น ‘ภาษากลาง’ ของโลกด้วย
“ฟุตบอลคือภาษาสากลที่เราพูดกันด้วยสำเนียงที่แตกต่างกัน” Tim Vickery นักข่าวฟุตบอลชาวบราซิลที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวไว้
ขยายความจากสิ่งที่ Vickery กล่าวคือ ด้วยความมหัศจรรย์ของฟุตบอล ทำให้ถึงเราจะพูดจากันไม่รู้เรื่อง เราก็สามารถที่จะร่วมเล่นฟุตบอลไปด้วยกันกับคนที่เราไม่เคยรู้จัก หรือนั่งเชียร์ฟุตบอลไปกับคนที่เราฟังภาษาเขาไม่เข้าใจ และหลงรักนักฟุตบอลที่เราไม่เคยเจอตัวตนของเขาจริงๆ ได้ไม่ยากนัก มันมีคุณสมบัติตามธรรมชาติในการทำลายล้างกำแพงและอุปสรรคต่างๆ ลงโดยง่ายดาย
ไม่มีฐานะ ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีศาสนา มีแค่คำว่าฟุตบอล
ฟุตบอลโลกคือสนามของทุกคน
ถึงแม้ว่าจะมีเพียงแค่ 32 ทีมที่ได้ผ่านเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แต่ไม่ได้หมายความว่าชาติที่เหลืออีกเกือบ 200 ประเทศบนโลกจะไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน
ในทางตรงกันข้าม คนจากชาติเหล่านี้อีกนับพันล้านคนต่างมีเหตุผลมากมายที่จะติดตามการแข่งขันฟุตบอลโลก
บางคนอาจจะมีทีมที่เชียร์นอกจากทีมชาติของตัวเองที่ไม่ได้ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
บางคนเลือกเชียร์ทีมนั้นทีมนี้เพราะประทับใจในอะไรสักอย่าง เช่น สไตล์การเล่น ชื่นชมความยิ่งใหญ่ หลงรักในประวัติศาสตร์
อีกหลายคนอาจจะเชียร์ตัวนักฟุตบอลที่เล่นในสโมสรโปรดของตัวเอง
บางคนอาจจะเชียร์ทีมนี้เพราะมีญาติอยู่ประเทศนั้น บางคนเชียร์เพราะความสงสารที่เป็นบอลรอง
และอีกหลายคนอาจจะเชียร์แบบเป็นกลาง คือทีมอะไรก็ได้ ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่ขอให้ได้เฝ้าติดตามหน่อย เพราะมันคือฟุตบอลโลก
ยิ่งเป็นชาติของเราเองด้วยแล้ว เรายิ่งเชียร์กันแบบขาดใจเลยทีเดียว ประหนึ่งได้เป็นผู้เล่นคนที่ 12 ที่ลงสนาม
“สิ่งที่กลายเป็นพลังดึงดูดผู้คนที่สำคัญอย่างมากคือการได้ติดตามเชียร์ทีมของตัวเองในช่วงฟุตบอลโลก มันทำให้คนที่ปกติแล้วอาจจะไม่ได้สนใจฟุตบอลนั้นหันกลับมาสนใจฟุตบอล” Vickery กล่าวต่อ
ขณะที่ Bobby Lenarduzzi อดีตนักเตะทีมชาติแคนาดาที่เคยผ่านฟุตบอลโลกในปี 1986 ที่เม็กซิโก กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างฟุตบอลโลกและโอลิมปิกได้อย่างน่าสนใจ
“ถ้าเรามองไปที่โอลิมปิก มันคือการที่ทุกคนจะติดตามดูเกมกีฬาที่พวกเขาไม่ได้ดูมา 3 ปี แต่เวลาที่เราพูดถึงฟุตบอลโลก มันเป็นกีฬาที่มีความรู้สึกร่วมอย่างแรงกล้ากว่ามาก เพราะทุกคนทั่วโลกต่างดูเกมฟุตบอลทุกวัน ทุกเดือน ตลอดทั้งปี”
เรียกว่าเราต่างเสพฟุตบอลทุกวันไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และนั่นทำให้เมื่อถึงช่วงฟุตบอลโลก มันคือจุดสูงสุดที่ทุกคนต้องหยุดทุกอย่างเพื่อหันมามอง
ตลอด 1 เดือนของการแข่งขัน มันคือช่วงเวลาแห่งความสุขที่คนทั้งโลกจะได้ร่วมติดตามฟุตบอลโลกกันในทุกมิติของมัน ไม่ว่าจะเป็นมิติที่ลึกซึ้ง หรือมิติที่ไม่ซับซ้อน
มันคือช่วงเวลาที่ทุกคนไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่ จะยากดีมีจน จะเคยเป็นใครในสังคมก็ตาม จะได้ปลดปล่อยตัวและใจไปกับเกมลูกหนัง ให้ได้สุข ทุกข์ กระโดด เฮ ฉลอง หงอย จ๋อย หรือไม่ว่าจะอารมณ์ใดก็ตามไปด้วยกัน หายใจเข้าเป็นคำว่า World หายใจออกเป็นคำว่า Cup
ฟุตบอลโลกคือการเมืองและเศรษฐกิจ
นอกเหนือจากด้านที่สวยงามเหมือนเดินในทุ่งลาเวนเดอร์แล้ว ฟุตบอลโลกยังมีด้านอื่นๆ ที่จริงจังประกอบด้วย โดยเฉพาะการเมืองและเศรษฐกิจ
การได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกสักครั้งมีผลต่อประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างมากมายมหาศาล และนั่นทำให้มีชาติจำนวนมากที่ปรารถนาจะขอเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าต้องลงทุนมากมายมหาศาลเพียงใดก็ตาม
ฟุตบอลโลกที่รัสเซีย ตามรายงานจาก USA Today เปิดเผยว่า ตัวเลขค่าจัดการแข่งขันสูงถึง 11.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 377,600 ล้านบาท
ตัวเลขดังกล่าวเป็นงบประมาณมหาศาลที่รัฐบาลรัสเซียต้องควักกระเป๋าจ่าย เพื่อแลกกับการทำตามเป้าหมาย 2 อย่าง
ข้อแรก เพื่อนำชื่อของรัสเซียกลับมาปรากฏบนแผนที่โลกอีกครั้งอย่างสง่างาม เหมือนที่จีนเคยทำได้กับกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง
และข้อที่สอง คือเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนชาวรัสเซีย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ หันมาให้ความสนใจในเกมกีฬา การออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดีของพลังขับเคลื่อนสังคมในอนาคต
ส่วนข้อที่สามที่รัสเซียไม่ได้บอกคือ รัฐบาลปูตินต้องการที่จะแสดงให้ชาวรัสเซียได้เห็นว่า ถ้าต้องการแล้วพวกเขาทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งการจัดฟุตบอลโลก ซึ่งเป็นการหวังผลทางการเมือง
การได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกของรัสเซียเป็นหนึ่งในการคว้าสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพที่อื้อฉาว มีความพัวพันกับการทุจริตของอดีตกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของฟีฟ่า ซึ่งในความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในวงการฟุตบอลมีเกมการเมืองลูกหนังเกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และสองสิ่งนี้ไม่สามารถแยกจากกันได้
ในด้านเศรษฐกิจ ฟุตบอลโลกมีส่วนในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากเจ้าภาพรัสเซียที่จะได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ที่พัก การบริการ สินค้า อาหาร เพราะจะมีแฟนบอลหลักล้านคนที่เดินทางมาเยือนตลอดระยะเวลา 1 เดือน (ซึ่งถ้าพวกเขาต้อนรับได้น่าประทับใจ ก็อาจนำไปสู่การกลายเป็นที่หมายปลายทางในการท่องเที่ยวของนักเดินทางทั่วโลกต่อไป)
ทุกประเทศในโลกต่างก็พลอยคึกคักไปกับฟุตบอลโลกด้วย มีแคมเปญการตลาดเกิดขึ้นมากมายจากแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องล้อไปกับกระแสฟุตบอลโลก เสื้อฟุตบอลคอลเล็กชันพิเศษ เสื้อผ้าที่ล้อไปกับธีมฟุตบอลโลก รองเท้า กระเป๋า เครื่องดื่ม โทรทัศน์ เทคโนโลยีต่างๆ ฯลฯ อะไรที่เป็นฟุตบอลโลก ทุกอย่าง ‘ขายได้หมด’
สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงแค่ไม่กี่ด้านที่ยกมาให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของฟุตบอลโลก ซึ่งไม่มีกีฬาหรือมหกรรมกีฬาใดในโลกที่สามารถทำได้เทียบเท่า
มันคือเกมของคนทั้งโลก ที่สุดยอดนักเตะของโลกจะมาร่วมลงชิงชัยให้เราดูกันตลอดระยะเวลา 1 เดือน
เวลาที่เราจะรีบกลับบ้าน อาบน้ำพักผ่อน รอเวลาที่จะได้กดรีโมตทีวี
แล้วอยู่ในห้วงเวลาต้องมนต์ไปพร้อมกัน
อ้างอิง: