ถ้าไม่นับพิธีเปิดอันยิ่งใหญ่ในการแสดงของประเทศเจ้าภาพในแต่ละปี หรือเสียงเป่านกหวีดของกรรมการประจำสนาม ‘เพลง’ คืออีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วย ‘กระตุ้น’ ความสนใจและบ่งบอกว่ามหกรรมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ตลอดระยะเวลา 56 ปี นับตั้งแต่ปี 1962 ที่มีเพลงประจำบอลโลกเกิดขึ้นที่ประเทศชิลี มีศิลปินมากมายที่เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสีสันให้การแข่งขันแต่ละครั้ง และไม่ใช่แค่ในสนาม เพราะมีหลายเพลงที่ยังสร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจระดับโลกเอาไว้มากมาย และเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงพลังของ ‘เสียงเพลง’ ที่มีอิทธิพลกับทุกวงการ แม้กระทั่งวงการ ‘ลูกหนัง’ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยก็ตาม
El Rock del Mundial – Los Ramblers (1962)
ย้อนกลับไปเมื่อ 56 ปีที่แล้วในการแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งที่ 7 ที่ประเทศชิลีเป็นเจ้าภาพ เนื้อร้องท่อนสั้นๆ ในภาษาสเปน “Gol, gol de Chile” ได้ดังกระหึ่มไปทั่วโลกก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น 3 สัปดาห์ และถูกจารึกไว้อย่างเป็นทางการว่านี่คือ ‘เพลงธีม’ ฟุตบอลโลกเพลงแรกนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาโดย Los Ramblers วงร็อกดาวรุ่งสัญชาติชิลีที่ได้รับมอบหมายให้แต่งเพลงขึ้นมาเพื่อ ‘เชียร์’ ทีมชาติชิลีโดยเฉพาะ แต่เนื่องจากเป็นเพลงแรกที่ถูกนำมาใช้ในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบกับท่วงทำนองที่สนุกสนานชวนให้คิดถึงราชาเพลงร็อก เอลวิส เพรสลีย์ เร้าอารมณ์ด้วยเสียงปรบมือและเสียงนกหวีดของกรรมการมาประกอบจังหวะ ทำให้กลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วลาตินอเมริกาอย่างรวดเร็ว และทำให้อัลบั้ม The Ramblers สามารถขายได้มากถึง 2 ล้านก๊อบปี้ทั่วโลก
เมื่อฟุตบอลโลกครั้งนั้นจบลงก็ถือเป็นการแจ้งเกิด Los Ramblers อย่างเป็นทางการ โดยมีผลงานออกมาทั้งหมด 8 อัลบั้มตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี และโลดแล่นอยู่บนเส้นทางดนตรีจนถึงปัจจุบัน กระทั่ง ฮอร์เก โรฆาส แอสตอร์กา มือเปียโนผู้ก่อตั้งวงเสียชีวิตลงในวัย 80 ปี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
เพลง El Rock del Mundial – Los Ramblers
World Cup Willie – Lonnie Donegan (1966)
4 ปีต่อมาที่ประเทศอังกฤษเป็นเจ้าภาพ เพลงฟุตบอลโลกถูกรังสรรค์ขึ้นมาด้วยฝีมือของลอนนี โดนิแกน ศิลปินชาวสกอตแลนด์ที่ไปเติบโตที่ประเทศอังกฤษ และได้ฉายาว่า The King of Skiffle โดยเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อเจ้าสิงโตวิลลี่ที่นับว่าเป็น ‘มาสคอต’ ตัวแรกประจำการแข่งขันฟุตบอลโลกจนกลายเป็นธรรมเนียมมาจนถึงปัจจุบัน และถือเป็นเพลงฉลองแชมป์ให้กับทีมชาติอังกฤษที่สามารถเอาชนะทีมชาติเยอรมนีในการแข่งขันปีนั้นได้อย่างสวยงาม
เพื่อให้เหมาะแข่งขันของคนทั้งโลกมากขึ้น คราวนี้เนื้อเพลงไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อเชียร์ทีมชาติอังกฤษอย่างเดียวเท่านั้น แต่พูดถึงความ ‘คลั่งไคล้’ ในกีฬาฟุตบอลของผู้คนทั่วทั้งโลก และเปลี่ยนแนวเพลงจากร็อกแอนด์โรลในปี 1962 มาเป็นแนวนิวออร์ลีนส์แจ๊ซเจือกลิ่นเพลงคันทรีที่เพิ่มความสนุกสนานด้วยเครื่องเป่าและจังหวะกลองสนุกๆ
เพลง World Cup Willie – Lonnie Donegan
Un’estate Italiana – Edoardo Bennato & Gianna Nannini (1990)
นอกจากเพลง Fútbol México 70 ของโรแบร์โต ดู นาสซิเมนโต ที่ใช้แนวเพลงสไตล์เม็กซิกันที่ฟังคึกคักชวนเต้นกันแบบสุดเหวี่ยงในปี 1970 หรือเพลง El Mundial ของเอ็นนิโอ มอร์ริโคเน ที่ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ ‘หัตถ์พระเจ้า’ ที่ดิเอโก มาราโดนา พาอาร์เจนตินาที่เป็นเจ้าภาพในปีนั้นคว้าแชมป์ไปแบบช็อกโลกในปี 1978 ก็แทบไม่มีเพลงใดโดดเด่นหรือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจดจำได้อีก
กระทั่งปี 1990 ที่ประเทศอิตาลีเป็นเจ้าภาพและได้ถือกำเนิดหนึ่งในเพลงฟุตบอลโลกที่ได้รับการยอมรับว่า ‘ดีที่สุดในโลก’ ขึ้นมา เวอร์ชันต้นฉบับเป็นของเอโออาร์โด เบนนาโต กับจานนา นานนินี ศิลปินดูโอชาวอิตาเลียน และเป็นเพลงแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่มีการเรียบเรียงใหม่เป็นภาษาอังกฤษที่ทุกคนคุ้นหูกันในชื่อ To Be Number One โดยจอวานนี จอร์จิโอ โมโรเดอร์ นักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ เจ้าของ 4 รางวัลแกรมมี่
ถึงแม้เพลงนี้จะไม่ได้ใช้ท่วงทำนองสนุกสนานเร้าใจ แต่เลือกใช้ความทรงพลังของดนตรีแนวบัลลาดร็อก มีท่อนโซโลหวานบาดใจเป็นเอกลักษณ์ ผสานกับเนื้อเพลงที่ถ่ายทอดความหมายของการเล่นฟุตบอลที่อยู่เหนือ ‘ชัยชนะ’ ได้อย่างลึกซึ้งกินใจ ทำให้เพลงนี้ติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศอิตาลีนานหลายสัปดาห์ รวมทั้งขึ้นท็อปชาร์ตในหลายประเทศทั่วโลก และยังเป็นเพลงประจำฟุตบอลโลกเพลงแรกที่มีการปล่อยเวอร์ชัน ‘คาราโอเกะ’ ให้แฟนบอลสามารถเอาไปร้องกันเองได้ตามสบายอีกด้วย
เพลง To Be Number One – Giovanni Giorgio Moroder
ไม่เพียงแค่นั้น ฟุตบอลโลก ปี 1990 ยังมีปรากฏการณ์ทางดนตรีที่น่าสนใจคือเพลง World in Motion ที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษได้มอบหมายให้วงระดับตำนานอย่าง New Order แต่งเพลงเชียร์ทีมชาติอังกฤษโดยเฉพาะขึ้นมาในปีนี้ ความพิเศษคือการให้นักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษอย่าง พอล แกสคอยน์, ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์, เดส วอล์กเกอร์, สตีฟ แม็กมาฮอน มาร่วมร้องประสานเสียง ที่สำคัญยังเรายังได้สกิลการ ‘แรป’ ของจอห์น บาร์นส์ ปีกในตำนานขวัญใจแฟนบอลทีมลิเวอร์พูลในเพลงนี้อีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีเพลง Wir sind schon auf dem Brenner ของอูโด เจอร์เกนส์ ที่ได้ร่วมร้องเพลงกับนักฟุตบอลทีมชาติเยอรมนีตะวันตกแบบยกทีม นำโดยฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ และโลธาร์ มัทเธอุส
อีกหนึ่งเพลงธีมคือ Put ‘Em Under Pressure เพลงเชียร์ของทีมชาติไอร์แลนด์ ได้ตำนานที่ยังมีชีวิตอย่างแลร์รี มูลเลน มือกลองแห่งวง U2 มาสร้างสรรค์และนำพลพรรคยักษ์เขียวมาร่วมกันร้องเพลงนี้ร่วมกัน โดยมีท่อนฮุก “Olé Olé Olé” ที่แฟนบอลทั่วโลกคุ้นหูและกลายเป็นอีกหนึ่งเพลง ‘เชียร์’ ที่ดีที่สุดในโลกมาจนถึงทุกวันนี้
เพลง Put ‘Em Under Pressure
The Cup of Life – Ricky Martin (1998)
เพลง To Be Number One อาจยิ่งใหญ่ที่สามารถครองใจแฟนบอลพันธุ์แท้ทั่วโลกได้ แต่ The Cup of Life ของริกกี้ มาร์ติน ยิ่งใหญ่เพราะสามารถครองใจ ‘แฟนเพลง’ ทั่วทั้งโลก คงไม่เกินไปนักถ้าจะบอกว่าคนที่เกิดทันยุคนั้น ไม่ว่าจะเคยดูฟุตบอลมาก่อนหรือเปล่าจะต้องสามารถร้องท่อนที่ว่า “Here we go! Ale, ale, ale! Go, go, go! Ale, ale, ale!” กันได้ทุกคน และยังช่วยปลุกกระแสให้ฟุตบอลโลกที่ประเทศฝรั่งเศสมีคนสนใจมากขึ้นเป็นประวัติการณ์
ด้วยดนตรีแนวละตินป๊อปแดนซ์ชวนเต้น ท่วงทำนองติดหู จำง่าย ทำให้ศิลปินชาวเปอร์โตริโกที่เริ่มเป็นที่รู้จักในตอนนั้นโด่งดังเป็นพลุแตก และเพลง The Cup of Life ก็ได้อันดับท็อปเท็นของชาร์ตเพลงทั่วโลก และสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้ในประเทศสเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, อิตาลี, เยอรมนี และฝรั่งเศส ทำให้อัลบั้ม Vuelve ของริกกี้ มาร์ติน ที่มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วยทำยอดขายทั่วโลกไปได้ 8 ล้านก๊อบปี้ และคว้ารางวัลแกรมมี่ในปี 1999 สาขา Best Latin Pop Performance มาครองได้สำเร็จ
ความสำเร็จของ The Cup of Life ทำให้เพลงฟุตบอลโลกในปีต่อๆ มาถูกผูกขาดด้วยแนวดนตรีสนุกสนานและพยายามเข้าถึงคนฟังส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่แฟนบอลมากขึ้น แต่ก็ไม่มีเพลงใดที่สร้างปรากฏการณ์แบบนั้นได้อีกจนกระทั่งปี 2010
เพลง The Cup of Life – Ricky Martin
Waka Waka – Shakira feat. Freshlyground (2010)
แม้จะมีดราม่าตั้งแต่ประกาศออกมาว่าเพลงนี้จะถูกขับร้องโดยนักร้องชาวโคลอมเบียอย่างชากีรา แทนที่จะเป็นนักร้องจากแอฟริกาใต้ที่เป็นเจ้าภาพในปีนั้น แต่จากยอดวิวมิวสิกวิดีโอเพลงในยูทูบมากกว่า 1.8 พันล้านครั้ง ทำให้ท่าเต้นสะบัดสะโพกกลายเป็น ‘มีม’ ที่มีคนเอามาคัฟเวอร์เต็มไปหมด ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งมากกว่าที่ The Cup of Life เคยทำไว้ และทำยอดขายไปได้มากถึง 10 ล้านก๊อบปี้ในยุคที่การฟังเพลงในอินเทอร์เน็ตกำลังครองโลก ก็พอจะได้บอกว่าชากีราสามารถทำหน้าที่ของตัวเองในเพลงนี้ได้อย่างเต็มที่แล้วจริงๆ
ชื่อเพลง Waka Waka เป็นภาษาถิ่นที่แปลได้ว่า This Time for Africa โดยเพลงนี้ถูกดัดแปลงจากเพลง Zangalewa ของวง Golden Sounds เนื้อเพลงพูดถึงการให้กำลังใจนักเตะในสนามฟุตบอลที่จะต้องลงไปฟาดฟันกับคู่แข่งโดยแบกชื่อเสียงของประเทศเอาไว้บนบ่า และยังไม่ลืมที่จะพูดถึงประเทศแอฟริกาใต้ที่ได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในฐานะประเทศที่พร้อมต้อนรับทุกคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในครั้งนี้
ไม่เพียงแค่ทำให้ชากีราประสบความสำเร็จในฐานะนักร้องเท่านั้น แต่ยังมีมุมน่ารักของเพลง Waka Waka ที่เป็นจุดเริ่มต้นทำให้นักร้องสาวมีโอกาสพบกับเคราร์ด ปิเก้ กองหลังคนสำคัญที่พาทีมชาติสเปนคว้าแชมป์ในปีนั้น และเริ่มต้นความสัมพันธ์จนทั้งคู่ประสบความสำเร็จในด้านชีวิตคู่อีกด้วย
เพลง Waka Waka – Shakira feat. Freshlyground
ฟุตบอลโลก 2010 ยังมีอีกปรากฏการณ์ดนตรีที่น่าสนใจคือการมีเพลงอย่าง Wavin’ Flag ของ K’naan แรปเปอร์ชาวโซมาลี ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เพลงฟุตบอลโลกที่บอกเล่าเรื่องราวผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามจนต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยไร้ที่อยู่อาศัย และสิ่งที่พวกเขาต้องการนอกเหนือจากเงินทองของและบริจาคคือ ‘อิสระ’ ในการใช้ชีวิตที่พวกเขาควรได้รับในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีคนเข้าไปดูมิวสิกวิดีโอนี้มากถึง 107 ล้านวิว
เพลง Wavin’ Flag – K’naan
ปี 2010 ยังเป็นครั้งแรกที่ศิลปินไทยมีโอกาสร่วมงานในมหกรรมฟุตบอลโลกครั้งนี้ถึง 2 คนคือ ซานิ-นิภาภรณ์ ฐิติธนการ ที่เพิ่งคว้าแชมป์จากรายการ True Academy Fantasia ซีซัน 6 ได้ไปร่วมร้องและถ่ายมิวสิกวิดีโอ Oh! Africa เพลงประจำแคมเปญฟุตบอลโลก 2010 ของเป๊ปซี่ โดยศิลปินฮิปฮอประดับโลกอย่าง Akon และ จุ๋ย จุ๋ยส์ (สุทธิพงศ์ สุทินรัมย์) ที่เพลง ‘สู้สิสู้’ ได้รับการอนุมัติจากฟีฟ่าให้อยู่ใน Listen Up! The Official 2010 FIFA World Cup Album อัลบั้มอย่างเป็นทางการของเพลงฟุตบอลโลก 2010
Live It Up – Nicky Jam feat. Will Smith & Era Istrefi (2018)
ส่วนเพลงหลักประจำฟุตบอลโลกที่รัสเซียในปีนี้ยังคงคอนเซปต์ของความเป็นลาตินอเมริกาเอาไว้ด้วยการให้นิกกี้ แจม ศิลปินชาวโคลอมเบีย ซูเปอร์สตาร์ของวงการดนตรีเร็กเก้และละติน มาร่วมฟีเจอริงกับวิล สมิธ นักแสดงและแรปเปอร์ชื่อดังเจ้าของรางวัลแกรมมี่ และเอรา อิสเทรฟี ศิลปินสาวป๊อปแดนซ์จากโคโซโวมาสร้างสีสัน และที่สำคัญยังได้ดีเจและโปรดิวเซอร์ตัวพ่อแห่งวงการอีดีเอ็มยุคนี้มารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ในเพลงนี้ด้วย
เพลง Live It Up – Nicky Jam feat. Will Smith & Era Istrefi
อ้างอิง:
- en.wikipedia.org/wiki/FIFA_World_Cup_anthems_and_songs
- es.wikipedia.org/wiki/Los_Ramblers
- www.chicagotribune.com/90minutes/ct-90mins-retro-world-cup-the-soundtrack-to-the-glory-20180330-story.html
- en.wikipedia.org/wiki/The_Cup_of_Life
- en.wikipedia.org/wiki/Waka_Waka_(This_Time_for_Africa)
- sport360.com/article/football/world_cup_2018/276753/world-cup-2018-seven-best-world-cup-songs-of-all-time
- www.thebubble.com/the-official-world-cup-song-is-out-and-it-wont-make-history