สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเปิดเผยข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนกรกฎาคม 2562 โดยพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 25.50% มาอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) 109.44 เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ส่วนหมวดธุรกิจรับเหมาก่อสร้างกลายเป็นหมวดอุตสาหกรรมธุรกิจที่กลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดสวนทางกับธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์
วันนี้ (2 ก.ค.) ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดไทย ได้เปิดเผยข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนที่ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนสูงขึ้น ซึ่งในมุมมองของไพบูลย์เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ โดยเฉพาะเมื่อมองจากประเด็นสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ล่าสุดโดนัลด์ ทรัมป์และสีจิ้นผิงเพิ่งได้หารือกันใน G20 และทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวขึ้น
เช่นเดียวกับ ‘นโยบายการเงิน’ หลังเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางส่วนใหญ่ในหลายประเทศได้ออกมาประกาศพร้อมๆ กันว่าจะใช้นโยบายการเงินช่วยสภาพเศรษฐกิจไม่ให้ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั่วโลก
เมื่อมองความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายกลุ่มจะพบว่า ‘กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์’ คือกลุ่มที่มีดัชนีอยู่ในระดับที่ร้อนแรง (Very Bullish) เป็นอย่างมากที่ 160.00 เช่นเดียวกับกลุ่มรายบุคคลและสถาบันในประเทศที่ปรับตัวขึ้นเหมือนกันเมื่อเทียบกับช่วงเดือนพฤษภาคม ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเช่นเดิมที่ 100.00
ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดไทยบอกต่อว่าสำหรับในประเทศไทย สองปัจจัยที่เป็นแรงหนุนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากที่สุดประกอบด้วย นโยบายทางการเงินและนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะนโยบายภาครัฐที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าหลังรัฐบาลชุดใหม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็จะได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ภาคการบริโภคเติบโต อย่างไรก็ดี หากรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแล้วไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจก็อาจจะทำให้ตลาดผิดหวัง จุดนี้เองที่ไพบูลย์ชี้ว่าในอนาคตมันอาจจะกลายเป็นปัจจัยลบ
“ผลงานตลาดหุ้นทั่วโลกในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาค่อนข้างชัดเจนมากๆ ว่าปีนี้เป็นปีที่ดี เพราะมีแค่มาเลเซียประเทศเดียวที่ดัชนีติดลบ -1.1% ที่เหลือในตลาดอื่นๆ ทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะประเทศในฝั่งตะวันตก ยุโรป อย่างสหรัฐอเมริกา USA Nasdaq (20.7%) และจีน (19.5%) ก็เป็นอันดับที่ 1 และ 2 ของโลก ซึ่งจุดหนึ่งก็ต้องแยกแยะว่าตลาดหุ้น เศรษฐกิจ และประเด็นความบาดหมางระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นอยู่เป็นคนละประเด็นไม่ได้ล้อไปด้วยกัน ตลาดหุ้นไม่ได้มีรีแอ็กแบบนั้น เชื่อว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในช่วงขาขึ้นในระยะต่อไป
“สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ขึ้นมากว่า 10% ถือว่าไม่ขี้เหร่เลย โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีการปรับตัวขึ้นมา 6.8% อยู่ในกลุ่มเกณฑ์เฉลี่ย 7% ซึ่งเกือบจะเป็นที่หนึ่งของโลกแล้ว ถือว่าใช้ได้ และนับเป็นครั้งแรกที่เงินนอกไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยทั้งประเภทตราสารทุนและตราสารหนี้สูงที่สุดแทบจะทุกประเทศของภูมิภาคเอเชีย”
ไพบูลย์กล่าวต่อว่า ระยะกลางต่อจากนี้ไปจนถึงช่วงสิ้นปี เขาเชื่อว่ามีโอกาสสูงมากๆ ที่ตลาดหุ้นจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะถ้ารัฐบาลบริหารได้ดี และเป็นช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะเลือกตั้งและน่าจะทำให้หุ้นทั่วโลกขึ้นตามไปด้วย ซึ่งการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตลอดระยะเวลากว่า 70-80 ปีที่ผ่านมา มีแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้นที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในช่วงขาลง
ส่วนหมวดอุตสาหกรรมธุรกิจที่กลุ่มนักลงทุนส่วนใหญ่ทั้งสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติมองว่าน่าสนใจลงทุนมากที่สุดคือหมวด ‘บริการรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง’ (CONS) และหมวดธนาคาร ขณะที่สื่อและสิ่งพิมพ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์คือหมวดที่นักลงทุนส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า