×

เฟร์นานโด อลอนโซ กับการกลับมาอย่างงดงามในวัย 41 ปี บนเวที F1

07.03.2023
  • LOADING...

ทั้งที่ศึกบาห์เรนกรังด์ปรีซ์จบด้วยชัยชนะอันงดงามและหอมหวานของทีมเรดบูลล์ เรซซิง ที่กวาดสองอันดับแรกบนโพเดียมไปครองอย่างยากที่จะมีใครต้านไหว จนขนาดที่บางคนถึงกับตั้งคำถามว่า “ใครจะไปสู้” กับทีมสัญชาติออสเตรียในฤดูกาลนี้ได้ 

 

โดยเฉพาะเมื่อ แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน นักขับแชมป์เก่า สามารถคว้าชัยแบบทิ้งเพื่อนร่วมทีมอย่าง เซร์คิโอ เชโก เปเรซ ห่างกว่า 11 วินาที และทิ้งห่างอันดับ 3 ถึงกว่า 38 วินาที

 

แต่ถึงอย่างนั้นสปอตไลต์ในการแข่งขันที่ชาคีร์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กลับพร้อมใจส่องไปยัง เฟร์นานโด อลอนโซ นักขับชาวสเปนจากทีมแอสตันมาร์ติน แบบพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

 

 

นี่เป็นการขึ้นโพเดียมสนามแรกของนักขับชาวสเปน นับตั้งแต่เขาคว้าอันดับ 3 ในรายการกาตาร์กรังด์ปรีซ์ 2021 ซึ่งเป็นการขึ้นโพเดียมอีกครั้งในรอบกว่า 1 ปี และนี่ยังเป็นการขึ้นโพเดียมครั้งที่ 99 ในศึก F1 ของเจ้าตัว พร้อมกับเป็นการขึ้นโพเดียมครั้งแรกในฐานะนักขับอย่างเป็นทางการกับทีมแอสตันมาร์ตินตั้งแต่ออกสตาร์ทสนามแรก ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นกับทีมใหม่ได้อย่างงดงาม

 

 

 

นักขับแชมป์โลก 2 สมัย โชว์ฟอร์มในสนามบาห์เรนอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิตได้อย่างโดดเด่น หลังต่อสู้กับแชมป์โลก 7 สมัยอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน จากทีมเมอร์เซเดส เอเอ็มจี ได้อย่างถึงพริกถึงขิง ก่อนแซงหน้าได้สำเร็จในรอบที่ 38 พร้อมกับคำว่า “YES! Let’s go.”

 

เท่านั้นยังไม่พอ เขายังขับรถสีเขียวหมายเลข 14 แซงหน้ารถสีแดงหมายเลข 55 ของคาร์ลอส ไซน์ซ จูเนียร์ จากทีมเฟอร์รารี ในรอบที่ 45 ขึ้นไปคว้าอันดับที่ 3 พร้อมกับประโยคที่ว่า “YES! Bye bye.” ก่อนรักษาตำแหน่งบนโพเดียมไว้ได้จนจบการแข่งขัน

 

ที่น่าสนใจคือการแซงครั้งสำคัญทั้งสองครั้งของเขาในเรซนี้เกิดขึ้นในโค้ง 10 และโค้ง 11 ซึ่งเป็นโค้งที่ปกติแล้วมักจะไม่มีการแซงกันในสนามนี้ แต่อลอนโซกลับเลือกที่จะใช้ทั้งสองโค้งดังกล่าวสร้างโอกาสของเขา

 

อลอนโซอธิบายถึงการเลือกแซงใน 2 โค้งดังกล่าวใน 2 ช็อตสำคัญในการแข่งขันสนามแรกของปีว่า “ปกติคุณจะแซงในโค้ง 1 หรือโค้ง 4 แต่ผมแซงทั้งลูอิสและคาร์ลอสในที่ปกติไม่ได้ เพราะพวกเราไม่สามารถเทียบความเร็วในทางตรงกับพวกเขาได้”

 

 

“เราจึงต้องชิงลงมือก่อนในโค้ง 10 และ 11 เพื่อปูทาง และเราก็ทำสำเร็จ สำหรับลูอิสมันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากกว่า เพราะไม่มีใครแซงหน้าเข้าโค้ง 10 ได้เลย

 

“สำหรับคาร์ลอส ตอนใกล้จะถึงโค้ง 10 เขาก็เลือกจะปิดทางผม และกลายเป็นว่าผมกลับพบโอกาสที่ดีกว่าในโค้ง 11”

 

ฟอร์มการขับในสนามนี้ของอลอนโซถูกแฟนๆ ยกย่องเป็นอย่างมาก และทำให้เขาคว้าตำแหน่ง Driver of the Day สนามแรกไปครองได้ไม่ยาก หลังกวาดคะแนนโหวตไปถึง 53.3%

 

อลอนโซคว้าตำแหน่งดังกล่าวโดยทิ้งอันดับที่ 2 อย่าง ปิแอร์ แกสลีย์ นักขับฝรั่งเศสจากทีมสัญชาติฝรั่งเศสอย่างอัลพีน ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมจากการสตาร์ทอันดับสุดท้าย แต่กลับสามารถปีนขึ้นมาจบอันดับ 9 ในสนามนี้ได้ ด้วยการมีคะแนนโหวตมากกว่าถึง 46.8% เลยทีเดียว

 

หลังจบฤดูกาลที่ผ่านมา นักขับชาวสแปนิชเลือกลาทีมอัลพีนมาซบแอสตันมาร์ตินในฤดูกาลนี้ และกลายเป็นอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของทีม เพราะนอกจากการมาของเขาแล้ว ทีมสัญชาติอังกฤษทีมนี้ก็พัฒนารถของพวกเขามาได้อย่างก้าวกระโดด

 

สมรรถภาพรถของทีมแอสตันมาร์ตินได้รับการพิสูจน์มาแล้วในการทดสอบรถเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า รถของพวกเขาทำผลงานได้น่าประทับใจไม่แพ้เมอร์เซเดสหรือเฟอร์รารีเลย

 

ที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งเพราะ ลอว์เรนซ์ สโทรลล์ เจ้าของทีม สามารถไปดึงตัว แดน ฟอลโลว์ส ผู้อำนวยการด้านเทคนิคคนใหม่มาจากทีมเรดบูลล์ เรซซิง ได้สำเร็จ

 

 

ฟอลโลว์สคือหนึ่งในทีมเบื้อหลังความสำเร็จของทีมเรดบูลล์ เรซซิง เมื่อปี 2022 ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่รถของแอสตันมาร์ตินในปีนี้จะมีความคล้ายคลึงกับทีมแชมป์เก่าในหลายๆ จุด

 

เมื่อรถที่ดีพอมารวมกับนักขับที่มีประสบการณ์ระดับแชมป์โลก 2 สมัย และเคยจบในท็อป 3 ของการแข่งขันเพื่อคว้าแชมป์โลก F1 มาแล้วถึง 6 ครั้งอย่าง เฟร์นานโด อลอนโซ จึงทำให้ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่น่าลุ้นอย่างมากสำหรับทีมแอสตันมาร์ติน

 

อลอนโซตัดสินใจครั้งสำคัญหลังปฏิเสธที่จะต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมอัลพีนเมื่อปีก่อน เขายอมรับว่าสาเหตุที่เลือกแบบนั้นเป็นเพราะแอสตันมาร์ตินน่าสนใจกว่าสำหรับเขา

 

โดยนักขับแชมป์โลก 2 สมัยเปิดใจกับ อแมนดา เดวีส นักข่าวของ CNN Sports ว่า 

 

“ต้องเป็นโปรเจกต์ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ต้องเป็นโปรเจกต์ที่ต้องการคว้าชัยชนะ โปรเจกต์นั้นจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มันเกิดขึ้น และทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่ผมรู้สึกกับแอสตันมาร์ติน

 

“พวกเขามีความสามารถพอและยังกระหายในการคว้าความสำเร็จ ต้องการมัน และต้องการมันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“ที่นี่มีการลงทุนสิ่งใหม่หลายอย่าง สิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ อุโมงค์ลมใหม่ รวมไปถึงผู้คนใหม่ๆ ที่เข้าร่วมทีม โดยพวกเขามีประสบการณ์และภูมิหลังที่แตกต่างกัน ผมพูดได้แค่ว่ามันเป็นโปรเจกต์ที่ยอดเยี่ยม”

 

การลงทุนครั้งใหญ่ของแอสตันมาร์ตินที่อลอนโซพูดถึงนั้นไล่ตั้งแต่การเปิดตัวโรงงานใหม่มูลค่ากว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6,900 ล้านบาท ที่ซิลเวอร์สโตน

 

การลงทุนครั้งใหญ่ครั้งนี้จึงประสบผลอย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงพรีซีซัน เทสต์ ต่อเนื่องมาจนถึงการแข่งขันสนามแรกในชาคีร์ที่รถของแอสตันมาร์ตินสามารถแข่งขันกับเฟอร์รารีและเมอร์เซเดสได้อย่างไม่เป็นรอง

 

โดยหลังจบการแข่งขันที่บาห์เรนอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต อลอนโซก็ย้ำกับทุกคนว่า สิ่งที่ทีมได้ลงทุนทำไปเมื่อช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว และหลังจากนี้คือช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวความสำเร็จที่มาจากความพยายามของทีมตลอดช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา

 

อลอนโซกล่าวว่า “เราภูมิใจและมีความสุขอย่างมากกับงานที่เราทำลุล่วงกันที่โรงงานในซิลเวอร์สโตน (ช่วงการเตรียมทีมที่ผ่านมา) ขอแสดงความยินดีอย่างมากกับทุกๆ คนในทีม

 

“ตอนนี้เรามาสนุกกับช่วงเวลานี้และสร้างความหวังจากช่วงเวลานี้เพื่อให้ปี 2023 เป็นฤดูกาลที่ดี และทำให้พวกเราทั้งหมดเข้าใกล้จุดสูงสุดมากกว่าเดิม”

 

 

อย่างไรก็ตาม อลอนโซเชื่อว่าทีมของเขายังมีโอกาสให้พัฒนาได้อีกหลังจากนี้ และนั่นอาจพาเขาและทีมไปสู่จุดที่ตั้งเป้าหมายไว้ก็ได้

 

“นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น บรรดาทีมระดับท็อปทำงานกันตั้งแต่คอนเซปต์ที่พวกเขามี และพยายามสร้างสิ่งนั้นสู่ความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง แต่เรามีการเปลี่ยนแปลงรถของเราถึง 95% นั่นทำให้เรายังมีโอกาสเรียนรู้ถึงศักยภาพรถของเราอีกมาก และหลังจากนั้นจะมีอีกหลายสิ่งตามมา”

 

คงไม่ผิดหากจะบอกว่า อลอนโซรอคอยทีมระดับนี้มายาวนานเกือบทศวรรษ เพราะนับตั้งแต่เขาก้าวออกมาจากสคูเดอเรีย เฟอร์รารี ในปี 2014 เขาก็ไม่ได้พบกับทีม F1 ที่มีองค์ประกอบและความกระหายชัยชนะระดับนี้อีกเลย

 

ต้องอย่าลืมว่า อลอนโซคือหนึ่งในนักขับที่ว่ากันว่ามีพรสวรรค์สูงที่สุดคนหนึ่ง เขายังถูกจารึกชื่อในฐานะดับเบิลแชมป์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน F1 หลังพาทีมมายด์ เซเวน เรโนลต์ คว้าแชมป์โลก 2 สมัยติดในปี 2005 และ 2006

 

นอกจากนี้เขายังผ่านการแข่งขันร่วมกับตำนานอีกหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น มิชาเอล ชูมัคเกอร์, คิมี ไรโคเนน, เซบาสเตียน เวตเทล รวมไปถึงว่าที่ตำนานอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน

 

อลอนโซเดินทางในเส้นทางสาย F1 มาอย่างยาวนานกว่า 20 ปีนับตั้งแต่เขาเริ่มนับหนึ่งกับทีมยูโรเปียน มินาร์ดี F1 ในฤดูกาล 2001 ซึ่งปีนั้นเป็นปีแรกและปีเดียวในอาชีพของเขาที่จบฤดูกาลด้วยการไม่มีคะแนนเลยแม้แต่แต้มเดียว

 

หลังจากนั้นเขาก็อยู่ในศึก F1 มาต่อเนื่องยาวนานถึงปี 2018 กับทีมอย่างเรโนลต์, แมคลาเรน, เฟอร์รารี จนถึงปี 2018 เขาจึงตัดสินใจอำลาวงการไปลงแข่งขันในรายการระดับอินดีคาร์ซีรีส์, เลอมังส์ 24 ชั่วโมง รวมไปถึงดาการ์แรลลี

 

ระหว่างนั้นหลายคนก็หลงลืมชื่อของ เฟร์นานโด อลอนโซ ไปแล้ว และน้อยคนนักที่จะคิดว่าเขาจะกลับมาลุยศึก F1 อีกครั้ง เพราะอายุอานามของเขาก็มากขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่ถึงอย่างนั้นอลอนโซก็กลับมาสู่วงการ F1 อีกครั้งจนได้หลังหายหน้าไปถึง 3 ปีหลังรับสัญญากับทีมอัลพีนในปี 2021 แม้ใครหลายคนจะมองข้ามเขาว่า ‘หมดแล้ว’ ก็ตาม

 

แต่อลอนโซก็พิสูจน์ตัวเองว่า ‘ไม่ได้มาเล่นๆ’ หลังจบครึ่งบนของตารางคะแนนในนามทีมอัลพีนได้ทั้งฤดูกาล 2021 และ 2022 โดยในปีแรกเขาจบที่ 10 ก่อนที่ปีก่อนจะจบอันดับที่ 9

 

 

 

ดังนั้นการได้อยู่กับทีมที่มีองค์ประกอบเพียบพร้อมในระดับสูงอย่างแอสตันมาร์ตินในช่วงบั้นปลายอาชีพในวัย 41 ปี จึงเป็นอะไรที่น่าจับตามองอย่างมาก

 

เพราะนี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เราได้เห็นทีมอื่นๆ มาเป็นตัวสอดแทรกในการไล่ล่าแชมป์โลก F1 นอกจาก Big 3 อย่างเรดบูลล์, เมอร์เซเดส และเฟอร์รารี ก็เป็นได้

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X