ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ออกมาเตือนว่าปัญหาวิกฤตหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์อาจส่งผลกระทบกระเทือนถึงระบบการเงินของสหรัฐฯ
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ปัญหาการขาดสภาพคล่องและหนี้สินที่มีมูลค่าสูงกว่า 3 แสนดอลลาร์ของ China Evergrande บริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับ 2 ของจีน ได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลกว่า บริษัทอาจผิดนัดชำระหนี้จนก่อให้เกิดปัญหาลุกลาม ส่งผลกระทบต่อบริษัทพัฒนาอสังหาฯ รายอื่นๆ ของจีนเป็นลูกโซ่ ซึ่งในท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่มีแรงขับเคลื่อน 1 ใน 4 มาจากภาคอสังหาฯ
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Fed ได้เผยแพร่รายงานด้านความมั่นคงทางการเงิน โดยในรายงานดังกล่าวมีข้อความที่ระบุว่า “ปัญหาในภาคอสังหาฯ ของจีนอาจสร้างความตึงเครียดให้กับระบบการเงินของจีนเอง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ผลกระทบบางส่วนอาจลุกลามมาถึงสหรัฐฯ เนื่องจากระบบการเงินและขนาดทางเศรษฐกิจของจีนมีความเชื่อมโยงกับการค้าโลก” รวมอยู่ในนั้น
ในรายงานดังกล่าวของ Fed ยังมีการพูดถึงความเสี่ยงทางการเงินภายในประเทศของสหรัฐฯ เองด้วย เช่น ราคาหุ้นในตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และความเสี่ยงจากการเติบโตที่รวดเร็วของ Stablecoins หรือสกุลเงินดิจิทัลที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ไม่ให้น้ำหนักกับข้อความที่ Fed พูดถึงปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์จีนมากนัก โดย Paul Christopher หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดโลกของ Wells Fargo Investment Institute ระบุว่า หัวใจสำคัญของความกังวลจาก Fed ในเรื่องนี้คือ ภาคอสังหาฯ จีนเริ่มชะลอการเติบโตลง แต่ผู้พัฒนาโครงการส่วนใหญ่กลับมีหนี้สูงและหลายราย เช่น Evergrande มีการกระจายการลงทุนออกไปยังธุรกิจอื่นๆ
“การที่บริษัทอสังหาฯ จีนมีการลงทุนในหลายธุรกิจ เมื่อตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวลงย่อมหมายถึงการว่างงานที่จะเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นจีนที่ร่วงลงและภาวะเงินฝืด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการค้าในโลก หากจีนลดการสั่งซื้อสินค้าประเภทต่างๆ ลง แต่โอกาสที่จะเกิดภาวะเช่นนี้คงมีน้อย เพราะรัฐบาลจีนมองเห็นปัญหาเรื่องหนี้ที่อยู่ในระดับสูงของบริษัทอสังหาฯ มาสักพักแล้ว และรัฐบาลก็มีทรัพยากรเพียงพอในการจัดการด้วย” Christopher กล่าว
ทั้งนี้ รายงานด้านความมั่นคงทางการเงินฉบับก่อนหน้าของ Fed ได้เคยพูดถึงความเสี่ยงในภาคอสังหาฯ ของจีนจากระดับหนี้ที่สูงของบริษัทผู้พัฒนาโครงการมาแล้ว โดยระบุเช่นกันว่า อาจมีผลกระทบบางส่วนที่ส่งต่อมาถึงสหรัฐฯ
Ilya Feygin นักกลยุทธ์อาวุโสของ WallachBeth Capital เชื่อว่า Fed มีการพูดถึงความเสี่ยงจากภาคอสังหาฯ จีน เพื่อทำให้รายงานมีความสมบูรณ์และรอบด้านขึ้น แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักกับประเด็นนี้มากนัก เนื่องจากในอดีต Fed เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามองข้ามความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับภาคอสังหาฯ ของสหรัฐฯ เองในปี 2008 จนนำไปสู่วิกฤตใหญ่ทางเศรษฐกิจ
ขณะที่ Arthur Kroeber ผู้เชี่ยวชาญด้านจีน กล่าวว่า การแสดงความเห็นของ Fed ต่อปัญหาในภาคอสังหาฯ จีนนั้นค่อนข้างคลุมเครือและไม่เฉพาะเจาะจง โดยโฟกัสไปที่ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสหรัฐฯ จากขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ของจีนเท่านั้น
“ความเสี่ยงที่ปัญหาจากภาคอสังหาฯ จีนจะไปถึงสหรัฐฯ นั้นมีน้อยมาก เนื่องจากระบบการเงินของจีนเป็นระบบปิด ทำให้ความเสี่ยงที่จะลุกลามบานปลายมีไม่มาก” Kroeber กล่าว
อ้างอิง: