บรรดาผู้เชี่ยวชาญในตลาด Wall Street ประเมินว่า ทิศทางความเคลื่อนไหวของนักลงทุนในรอบสัปดาห์นี้มุ่งให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ระหว่างวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ ซึ่งนักลงทุนมองว่ามีโอกาสเกือบ 100% ที่ Fed น่าจะขยับปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% หลังจากที่ระงับการขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราวในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญมองว่าสิ่งที่นักลงทุนจับตามองมากที่สุดก็คือถ้อยแถลงของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed หลังจากการประชุม เนื่องจากเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางของธนาคารกลางเกี่ยวกับนโยบายการเงินเพื่อจัดการเงินเฟ้อและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เดวิด สมิธ หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ Rockland Trust กล่าวว่า “หาก Fed ยังคงเหยียบเบรกต่อไปเพื่อพยายามชะลอเศรษฐกิจ นั่นจะเป็นปัญหาสำหรับตลาด”
ทั้งนี้ ทางพาวเวลล์และเจ้าหน้าที่ Fed คนอื่นๆ ได้บอกเป็นนัยว่าจะมีการหารือเพื่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนกันยายน ขณะที่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการ Fed ได้ย้ำถึงมุมมองที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่เจ้าหน้าที่ Fed ว่าจำเป็นต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปีนี้ และแนะนำว่าธนาคารกลางอาจต้องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นอกจากผลการประชุมของ Fed แล้ว บรรดานักลงทุนต่างจับตามองดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (Personal Consumption Expenditures Price Index) ล่าสุดสำหรับเดือนมิถุนายน โดยการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงหลังประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน Fed
ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุนในตลาดส่วนหนึ่งต่างจับตาการรายงานผลประกอบการของบรรดายักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด โดยมีบริษัทอย่าง Alphabet, Microsoft และ Meta เป็นศูนย์กลาง เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีน้ำหนักที่มากในดัชนีสำคัญๆ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าหุ้นเทคโนโลยีถือเป็นดาวรุ่งน่าลงทุนในปีนี้ ด้วยอานิสงส์ของ AI
กระนั้นในช่วงฤดูผลประกอบการไตรมาสแรก ตลาดมีแนวโน้มที่จะมีปฏิกิริยาต่อบริษัทที่รายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังมากกว่าบริษัทที่ทำผลงานได้เกินความคาดหมาย นักลงทุนบางคนกล่าวว่าแนวโน้มดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้อีกครั้งกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่หุ้นพุ่งทะยานสู่สตราโทสเฟียร์ในปีนี้
ดัสติน ทักเคเรย์ (Dustin Thackeray) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Crewe Advisors กล่าวว่า “สำหรับบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ที่ยังคงเติบโตต่อไป ขณะเดียวกัน ตัวเลขรายงานผลประกอบการที่พลาดจากที่คาดหวังไว้อาจนำไปสู่การเทขาย ซึ่งเคยเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อดัชนี NASDAQ Composite ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (20 กรกฎาคม) มีการลดลงในรอบวันที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ หลังจากที่ Tesla รายงานอัตรากำไรที่น้อยลงเนื่องจากการลดราคาในไตรมาสล่าสุด ส่วน Netflix มีรายได้เกินคาดแต่มีความไม่แน่นอนในเรื่องของรายได้ในอนาคต
อ้างอิง: