หลังจากการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะนโยบายภาษีของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 เป็นต้นมา ทิศทางการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นที่น่าจับตามองในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียน
กีรติญา ครองแก้ว นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning WEALTH ระบุว่า แม้จะมีแรงกดดันภายนอก แต่ภาพรวมมูลค่าขออนุมัติลงทุนในไทยในปี 2025 ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี
โดยในช่วงไตรมาส 2/2025 ตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ขยายตัวสูงถึง 200% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สิ่งที่น่าสนใจคือ กว่า 70% ของมูลค่าการขออนุมัตินี้ มาจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงมีความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังเผชิญกับแรงกดดันสำคัญจากกระแส “รีชอริง” (Reshoring) หรือการดึงฐานการผลิตกลับไปยังกลุ่มประเทศ USMCA คือ สหรัฐฯ, แคนาดา และเม็กซิโก ซึ่งมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่น่าดึงดูดใจ แม้ว่านักลงทุนเดิมที่เข้ามาลงทุนในไทยก่อนหน้าจะไม่ย้ายฐานการผลิตกลับไป แต่แรงกดดันนี้อาจทำให้การลงทุนใหม่บางส่วนที่พิจารณาประเทศไทย ชะลอการตัดสินใจลงทุน และหันไปพิจารณาผลประโยชน์จากกลุ่มประเทศ USMCA ก่อน
การปรับเปลี่ยนสู่การลงทุนมูลค่าเพิ่มสูง 3 กลุ่มหลัก
รูปแบบการลงทุนที่หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงหลังเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยขยับเข้าสู่การลงทุนที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น SCB EIC ได้จำแนกการลงทุนออกเป็น 3 กลุ่มหลักที่น่าสนใจ ดังนี้
- กลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงและดิจิทัล (High-Tech and Digital) เราเห็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเข้ามาลงทุนตั้ง Data Center ในไทย นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มูลค่าเพิ่มสูง เช่น อุปกรณ์อัจฉริยะ หรือระบบอัจฉริยะมากขึ้นด้วย
- กลุ่ม EV Ecosystem การลงทุนในกลุ่มนี้เป็นการต่อยอดจากจุดแข็งเดิมที่ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาป ปัจจุบันเริ่มเห็นการลงทุน EV ที่ครบวงจร ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วน การผลิตแบตเตอรี่ ไปจนถึงการประกอบรถยนต์ไฟฟ้า
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก หรือ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต แม้ปัจจุบันมูลค่าการลงทุนในกลุ่มนี้จะยังไม่สูงมาก แต่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ประกอบด้วย การผลิตเครื่องมือแพทย์, อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต, และการผลิตพลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสะท้อนว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การลงทุนที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนมากขึ้น
เปิดโครงสร้างแหล่งเงินลงทุนหลักต่างชาติหลักมาจาก สิงคโปร์, จีน, ญี่ปุ่น
แม้จะมีนโยบายภาษีใหม่ๆ เกิดขึ้น แหล่งเงินทุนหลักจากต่างประเทศยังคงคล้ายคลึงกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นั่นคือ จีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์
อันดับ 1 คือ สิงคโปร์ครองอันดับหนึ่ง ด้วยมูลค่าการลงทุนคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของมูลค่ารวม การลงทุนส่วนใหญ่มาจาก Data Center และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง การลงทุนเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อโครงสร้างพื้นฐานของไทย ทั้งในด้านไฟฟ้าและโทรคมนาคมที่มีเสถียรภาพ
อันดับ 2 คือ จีนมีการลงทุนคิดเป็นสัดส่วนราว 29% โดยยังคงเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมเดิม หรืออุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับที่เคยเข้ามาลงทุนแล้ว เช่น โลหะ อิเล็กทรอนิกส์ หรือ EV
อันดับ 3 คือ ญี่ปุ่น แม้ว่าสัดส่วนการลงทุนจะอยู่ที่ราว 5% แต่ญี่ปุ่นแสดงให้เห็นแนวโน้มที่สำคัญคือ การกระจายการลงทุนไปในอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่มุ่งเน้นยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็เริ่มกระจายไปในกลุ่มดิจิทัล โลหะ หรือสาธารณูปโภค ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากการกระจายฐานการผลิตของนักลงทุนญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณบวกที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยกลับมาลงทุนในไทยตามแผนเดิมที่วางไว้
การแข่งขันในอาเซียนและสิ่งที่ไทยต้องเร่งปรับปรุง
หลายประเทศในอาเซียนกำลังแข่งขันกันดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง, EV, และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
จุดแข็งของไทยในปัจจุบัน: ประเทศไทยยังมีจุดแข็งที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการลงทุน และการให้สิทธิประโยชน์จาก BOI เช่น มาตรการดึงดูดบุคลากรทักษะสูง ซึ่งช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีสามารถดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาทำงานได้สะดวกขึ้น
จุดเด่นของประเทศเพื่อนบ้าน
- เวียดนาม ได้เปรียบในเรื่องของข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ครอบคลุมมากกว่า 60 ประเทศ
- มาเลเซีย มีนโยบายผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่ชัดเจน
- อินโดนีเซีย มีทรัพยากรแร่ธรรมชาติ (แร่นิกเกิล) ซึ่งใช้ต่อยอดในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของรถยนต์ EV ได้โดยตรง
สิ่งที่ไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาศักยภาพ: เพื่อให้สามารถแข่งขันและดึงดูด FDI ได้อย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเร่งปรับตัวในหลายด้าน ดังนี้
- บุคลากร ต้องเร่งดำเนินการ Up-skill และ Re-skill บุคลากร เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีโอกาสจะเข้ามาลงทุนในอนาค
- โครงสร้างพื้นฐาน ต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านพลังงานและด้านดิจิทัล
- กฎระเบียบการลงทุน ควรมีการปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความคล่องตัว รวดเร็ว และลดความซับซ้อน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ
- การกำกับดูแลการลงทุนเพื่อประโยชน์ประเทศ BOI ได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อกำกับดูแลให้การลงทุนเกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริง โดยเน้นการกำหนดสัดส่วนการจ้างงานคนไทยที่ชัดเจน, การสนับสนุนโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, และการเน้นโครงการที่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อช่วยยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรมในประเทศ
ความแตกต่างระหว่างตัวเลขขออนุมัติกับเม็ดเงินจริง
แม้ว่าตัวเลขการขออนุมัติของ BOI จะดูสูงมาก โดยเติบโต 200% แต่นักลงทุนอาจไม่ได้ลงเม็ดเงินมาลงทุนในประเทศพร้อมกันทั้งหมดในคราวเดียว แต่จะมีการทยอยลงทุนมาเรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้ตัวเลขเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนจริงอาจดูชะลอตัวลง แต่ก็ยังเห็นเทรนด์ว่าไทยมีโอกาสและศักยภาพที่จะมีการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการติดตามรายละเอียดของตัวเลขที่ประกาศกับตัวเลขที่ลงเงินจริงอีกครั้ง เพื่อประเมินประโยชน์ที่ตกอยู่กับประเทศต่อไป
การเร่งปรับตัวในด้านต่าง ๆ ที่กล่าวมา จะช่วยต่อยอดจุดแข็งเดิมและทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน


