Fast X ภาพยนตร์ลำดับที่ 10 ของแฟรนไชส์ Fast & Furious และยังเป็นพาร์ตแรกของภาพยนตร์ไตรภาคที่จะนำผู้ชมเข้าสู่บทสรุปของครอบครัวรถซิ่งสุดระห่ำ หลังจากมอบความบันเทิงแก่ผู้ชมมายาวนานถึง 22 ปี โดยครั้งนี้ได้ Louis Leterrier จาก Now You See Me (2013) มานั่งแท่นผู้กำกับ แทนที่ Justin Lin ที่ขอถอนตัวจากตำแหน่งผู้กำกับกลางทาง เนื่องจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันกับนักแสดงนำและโปรดิวเซอร์อย่าง Vin Diesel
สำหรับภาคนี้ว่าด้วยเรื่องราวของ Dominic Toretto (Vin Diesel) และครอบครัว ที่ต้องเผชิญหน้ากับวายร้ายคนใหม่อย่าง Dante Reyes (Jason Momoa) ผู้เป็นลูกชายของ Hernan Reyes (Joaquim de Almeida) มาเฟียขาใหญ่ที่เคยถูก Toretto ขโมยตู้เซฟไปในภาค Fast Five (2011) จนเป็นเหตุให้ชีวิตของ Dante ต้องพังทลาย เขาจึงกลับมาล้างแค้น Toretto และทำลายครอบครัวให้ย่อยยับ
บทความที่เกี่ยวข้อง:
ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟรนไชส์ Fast & Furious แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้ชมหลายคนต่างคาดหวังจะได้ชม เห็นจะเป็นฉากแอ็กชันสุดระห่ำที่แหกทุกกฎเกณฑ์และไต่ระดับความเวอร์วังมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ภาค
สำหรับตัวผู้เขียนคิดว่าฉากแอ็กชันในภาคนี้ดูจะมีความหวือหวาน้อยกว่าหลายๆ ภาคที่ผ่านมา อาจจะไม่ได้ถึงขนาดขับรถข้ามตึกระฟ้า ซิ่งหนีเรือดำน้ำ หรือบินขึ้นอวกาศ แต่ทีมสร้างก็ยังสร้างสรรค์ฉากแอ็กชันออกมาได้สนุกสนานและน่าสนใจเช่นเดิม ไล่เรียงตั้งแต่ฉากไล่ล่ากลางโรมที่วินาศสันตะโร หรือการดัดแปลงรถของ Jakob (John Cena) ให้กลายเป็นรถติดปืนใหญ่ก็ดูเท่ไม่แพ้กัน
การลดสเกลฉากแอ็กชันลงเช่นนี้ อาจไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว้าวกับความเล่นใหญ่เล่นโตเกินจริงแบบภาคก่อนๆ ก็จริง แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ฉากแอ็กชันต่างๆ ของ Fast X อยู่ในจุดที่พอเหมาะ ไม่เวอร์จนเลยเถิด แต่ก็ยังรักษาความเวอร์เกินจริงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแฟรนไชส์ไว้ได้อย่างครบถ้วน
อีกแง่หนึ่งเราก็แอบคิดว่า เหตุผลที่ฉากแอ็กชันในภาคนี้ถูกลดสเกลลง อาจเพราะทีมสร้างเลือกที่จะเก็บไอเดียในการสร้างฉากแอ็กชันใหญ่ๆ ไว้สำหรับใช้ในหนังภาคต่อไป เพื่อให้บทสรุปของ Fast & Furious ยิ่งใหญ่ที่สุดก็เป็นไปได้ ซึ่งเราคงจะต้องติดตามกันต่อว่าทีมสร้างจะสร้างสรรค์ฉากแอ็กชันรถซิ่งของครอบครัวเหนือมนุษย์กลุ่มนี้ออกมาเวอร์วังอลังการแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม แผลใหญ่สำคัญที่ทำให้ Fast X กลายเป็นหนังที่ไม่กลมกล่อม คือการพยายามยัดตัวละครใหม่เข้ามามากเกินความจำเป็น โดยหากไม่นับตัวร้ายคนใหม่อย่าง Dante ในภาคนี้มีการแนะนำตัวละครใหม่เข้ามาเพิ่มถึง 3 คนด้วยกัน ได้แก่ Tess (Brie Larson) ลูกสาวของ Mr. Nobody (Kurt Russell), Aimes (Alan Ritchson) ผู้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยลับแทน Mr. Nobody และ Isabel (Daniela Melchior) นักแข่งรถสาวมากฝีมือ จึงทำให้ตัวภาพยนตร์ที่เดิมก็มีตัวละครหลายตัวมากๆ อยู่แล้ว ต้องแบ่งเวลามาเล่าเรื่องราวตัวละครเหล่านี้ด้วย
ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนมองว่าตัวละครเหล่านี้ไม่ค่อยมีบทบาทที่สำคัญเท่าไรนัก โดยเฉพาะ Tess และ Isabel ที่เราคิดว่าหากไม่มีสองตัวละครนี้ก็คงไม่ได้ส่งผลต่อเนื้อเรื่องหลักมากนัก หรือไม่ก็สามารถแทนที่ด้วยตัวละครสมทบอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีบทบาทสำคัญเท่านี้ก็ได้เช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยความที่ภาพยนตร์เลือกที่จะแยกตัวละครออกเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ การเดินทางของ Toretto, กลุ่มที่นำโดย Roman (Tyrese Gibson), กลุ่มของ Jakob และการเดินทางของ Letty (Michelle Rodriguez) ซึ่งในบางช่วงบางตอนของภาพยนตร์ก็มีฉากที่ ‘ไม่จำเป็นต้องเล่า’ อยู่หลายฉาก มันจึงทำให้ภาพยนตร์มีประเด็นที่ต้องเล่าเยอะเกินไป แต่กลับไม่ได้ลงลึกในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง
อีกทั้งหากเราลองย้อนกลับไปใน 9 ภาคที่ผ่านมา เราจะพบว่าทีมสร้างมักจะนำตัวละครที่ตายไปแล้วกลับมามีบทบาทอีกครั้ง เช่น Letty ที่ถูกฆ่าไปแล้วในภาค Fast & Furious (2009) และกลับมามีบทบาทอีกครั้งในภาค Fast & Furious 6 (2013) หรือ Han (Sung Kang) ที่ถูกฆ่าไปแล้วในภาค The Fast and the Furious: Tokyo Drift (2006) แต่เขาก็กลับมาอีกครั้งในภาค Fast 9 (2021)
การพาตัวละครที่เป็นที่รักของแฟนๆ กลับมามีบทบาทอีกครั้ง อาจจะตอบโจทย์ในแง่ของการเติมเต็มความคิดถึงของผู้ชม แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้ในทุกๆ ครั้งที่มีตัวละครสำคัญตาย เรากลับไม่ได้มีความรู้สึกร่วมกับการสูญเสียดังกล่าวอย่างที่ผู้สร้างต้องการให้เป็น เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่า แม้จะมีตัวละครบางตัวตายไป แต่มันก็มีโอกาสที่ตัวละครเหล่านั้นจะกลับมามีบทบาทอีกครั้งได้เช่นเดียวกัน
ด้วยข้อสังเกตเหล่านี้ จึงส่งผลอย่างมากต่อฉากสุดท้ายที่ภาพยนตร์ต้องการทิ้งประเด็นใหญ่ไว้เพื่อนำไปสู่ภาคต่อไป แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นหรืออยากจะติดตามเรื่องราวของ Toretto และครอบครัวต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น
สลับมาที่ตัวร้ายหลักของเรื่องอย่าง Dante ที่นำแสดงโดย Jason Momoa เราคิดว่าบทบาทของเขาเป็นตัวละครที่เข้ามาช่วยสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นความเล่นใหญ่เล่นโต คำพูดยียวนกวนประสาท ไปจนถึงเล่ห์เหลี่ยมที่คอยปั่นหัว Toretto อยู่ตลอด ซึ่ง Jason Momoa ก็นำเสนอตัวละครดังกล่าวออกมาได้อย่างน่าสนใจสมการรอคอยจริงๆ
ในภาพรวมแล้ว Fast X ยังเป็นภาพยนตร์จากแฟรนไชส์ Fast & Furious ที่โดดเด่นด้วยการออกแบบฉากแอ็กชันที่มี ‘รถ’ เป็นหัวใจสำคัญขึ้นมาได้อย่างสร้างสรรค์เช่นเดิม แม้จะไม่ได้มีฉากใหญ่โตอลังการเท่าภาคก่อนๆ แต่ก็ทำให้เราสนุกสนานไปกับความเหนือมนุษย์ของ Toretto และครอบครัวได้เป็นอย่างดี
แต่ข้อสังเกตสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการใส่ตัวละครและประเด็นที่ต้องการจะเล่าเข้ามามากเกินความจำเป็น จนทำให้ภาพรวมของภาพยนตร์ดู ‘ล้นทะลัก’ และไม่สามารถชวนให้เราอยากติดตามเรื่องราวของพวกเขาต่อไปได้อย่างที่ผู้สร้างตั้งใจ (ยกเว้นฉากการปรากฏตัวของตัวละครที่แฟนๆ คิดถึงในช่วงท้ายเครดิต ที่พอจะทำให้เราตื่นเต้นกับภาคต่อไปขึ้นมาได้ประมาณหนึ่ง)
Fast X เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่
ภาพ: Universal Pictures