งานวิจัย PIER Research เผยครัวเรือนเกษตรกรไทยกว่า 90% มีหนี้สินเฉลี่ย 4.5 แสนบาท และส่วนใหญ่สุ่มเสี่ยงจะติดกับดักหนี้ โดย 57% มีหนี้สินรวมจากทุกแหล่งสูงเกินศักยภาพในการชำระ และมีพฤติกรรม ‘การหมุนหนี้’ กันในวงกว้าง แนะทำ 6 นโยบายเร่งด่วนแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยงานวิจัย PIER Research ในหัวข้อ ‘กับดักหนี้ กับการพัฒนาเศรษฐกิจการเงินครัวเรือนฐานราก’ ซึ่งสำรวจภาคสนามเพื่อศึกษาพัฒนาการทางเศรษฐกิจการเงินของครัวเรือนเกษตรกรไทยกว่า 6 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ เพื่อศึกษาปัญหาหนี้สินและกลไกการติดกับดักหนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ความท้าทาย ‘ เศรษฐกิจไทย ปี 2566 ’ กับการปรับตัวของภาคธุรกิจ
- ฉวยจังหวะค่าเงินอ่อน ส่องโอกาสลงทุนหุ้นโลก สร้างพอร์ตเติบโตระยะยาว
- ‘ส่วนต่างรายได้’ กับนโยบายรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ
โดยผลวิจัยพบว่า ครัวเรือนเกษตรกรไทยกว่า 90% มีหนี้สิน และส่วนใหญ่สุ่มเสี่ยงจะติดกับดักหนี้ โดยระดับหนี้สินของครัวเรือนเกษตรยังมีแนวโน้มจะติดอยู่ที่ระดับ 70% ของทรัพย์สินในระยะยาว
โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้จัดทำงานวิจัยดังกล่าว ระบุว่า วงจรกับดักหนี้ของครัวเรือนเกษตรประกอบไปด้วย 4 ส่วน ดังนี้
- ปัญหาท้าทายการบริหารจัดการทางการเงินของครัวเรือนเกษตรกรไทย ได้แก่
- รายได้น้อย ไม่พอใช้จ่ายจำเป็น และไม่พอชำระหนี้ โดยปัจจุบัน 27% ของครัวเรือนเกษตรมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายจำเป็น และ 42% มีรายได้ไม่พอจ่ายหนี้
- รายได้ไม่สม่ำเสมอ ทำให้มีปัญหาสภาพคล่องในหลายเดือนต่อปี
- รายได้ทั้งในและนอกภาคเกษตรมีความไม่แน่นอนสูง และมีความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจบริหารจัดการยาก เช่น ความเสี่ยงด้านภัยพิบัติและความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตร ซึ่งโดยเฉลี่ยเกิดขึ้นทุกๆ 3 ปี และอาจเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อนและความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นในอนาคต
โดยข้อมูลพฤติกรรมการเงินรายเดือนแสดงให้เห็นว่า ครัวเรือนเกษตรกรกว่า 18% มีรายได้ไม่พอจ่ายในทุกๆ เดือน ขณะที่ 67% มีปัญหาสภาพคล่องระหว่างเดือน และมีเพียง 15% เท่านั้นที่ยังคงมีรายได้พอจ่ายทุกเดือน แต่ทุกกลุ่มก็มีรายได้ที่ไม่แน่นอน และเปราะบางสูง
- เครื่องมือทางการเงินยังไม่ตอบโจทย์ แต่กลับนำมาซึ่งปัญหาหนี้ โดยครัวเรือนเกษตรกรมีความตระหนักรู้ทางการเงินน้อย และยังไม่สามารถใช้การออมและประกันภัยมาช่วยจัดการปัญหาการเงินได้ ครัวเรือนส่วนใหญ่ออมน้อย และไม่ได้ออมเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน ทำให้ผลตอบแทนต่ำ มีความเสี่ยงสูง หรือสภาพคล่องต่ำ
ขณะที่การทำประกันภัยก็ยังไม่ครอบคลุมความเสี่ยงของรายได้ ที่ผ่านมาครัวเรือนจึงใช้สินเชื่อเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารจัดการทางการเงิน และสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้จากสถาบันการเงินที่หลากหลายทั้งในและนอกระบบ ทำให้กว่า 90% มีหนี้สิน มีหนี้เฉลี่ยปริมาณมากถึง 4.5 แสนบาท และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาจากหนี้เดิมที่ชำระไม่ได้ และหนี้ใหม่ที่ก่อเพิ่มทุกปี แสดงให้เห็นว่าครัวเรือนเกษตรกรกำลังใช้สินเชื่อกันอย่างไม่ยั่งยืน
- ปัญหาสำคัญของระบบการเงินฐานราก ที่กำลังฉุดรั้งการใช้สินเชื่อเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของครัวเรือน ได้แก่
- ปัญหาการขาดแคลนข้อมูล ทำให้สถาบันการเงินไม่รู้ศักยภาพและนิสัยที่แท้จริงของเกษตรกร และไม่มีข้อมูลระหว่างสถาบันการเงินด้วยกัน ทำให้การปล่อยสินเชื่ออาจยังไม่ทั่วถึงและตอบโจทย์ทุกกลุ่มได้ และที่สำคัญอาจไม่เหมาะสมกับความเสี่ยง และเกินศักยภาพของครัวเรือน โดยงานวิจัยพบว่า ครัวเรือนยังมีความต้องการสินเชื่อเพิ่ม โดยเฉพาะเพื่อทำเกษตรและลงทุน ขณะที่ 57% มีหนี้สินรวมจากทุกแหล่งสูงเกินศักยภาพในการชำระ และมีพฤติกรรม ‘การหมุนหนี้’ กันในวงกว้าง
- ปัญหาการออกแบบสัญญาชำระหนี้ ที่อาจไม่ได้ตั้งอยู่บนความเข้าใจปัญหาการเงินเกษตรกร จึงไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จูงใจและเหมาะสมกับศักยภาพ ทำให้เมื่อกู้ไปแล้ว ครัวเรือนไม่สามารถชำระและปลดหนี้ได้จริง
- ปัญหาในการติดตามและบังคับชำระหนี้ โดยเฉพาะเจ้าหนี้รายใหญ่อย่างสถาบันการเงินของรัฐ ที่งานวิจัยพบว่าครัวเรือนมักจะเลือกผิดนัดเป็นอันดับแรกๆ เมื่อเปรียบเทียบกับสถาบันการเงินชุมชนหรือนอกระบบ ซึ่งอาจใกล้ชิดกับเกษตรกรและมีกลไกการบังคับชำระหนี้ที่เข้มข้นกว่า นอกจากนี้ เมื่อศึกษาสินเชื่อที่ใช้การค้ำประกันกลุ่มกว่า 303,779 กลุ่มทั่วประเทศ ซึ่งเคยเป็นนวัตกรรมของกลไกการบังคับชำระหนี้ในอดีต ก็พบว่ากลับมีปัญหาการชำระหนี้ในวงกว้าง
- การพัฒนาของปัญหาข้างต้นไปสู่กับดักหนี้และกับดักการพัฒนา โดยงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงกลไกการติดกับดักหนี้ที่เริ่มจากปัญหาของครัวเรือนเกษตรกร การใช้เครื่องมือทางการเงินที่ไม่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหาทางการเงิน ประกอบกับความไม่มีประสิทธิภาพของระบบการเงินฐานราก จนทำให้ครัวเรือนใช้สินเชื่อกันจนเกินศักยภาพและมีปัญหาหนี้ ซึ่งย้อนกลับมาทำให้ปัญหาเศรษฐกิจการเงินครัวเรือนรุนแรงขึ้น จนกลายเป็นวงจร นอกจากนี้ การติดกับดักหนี้ทำให้ภูมิคุ้มกันของครัวเรือนลดลง ฉุดรั้งการเข้าถึงโอกาสในการเพิ่มศักยภาพ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และกำลังกลายเป็นกับดักแห่งการพัฒนา
ลัทธพร รัตนวรารักษ์ นักวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ กล่าวว่า การจะช่วยให้ครัวเรือนเกษตรกรไทยหลุดพ้นจากกับดักเหล่านี้ และสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องแก้ให้ครบวงจร ทั้งปัญหาระบบการเงินฐานราก ปัญหาหนี้ และปัญหาเศรษฐกิจการเงินครัวเรือน โดยมี 6 นโยบายที่ต้องเร่งทำอย่างเร่งด่วน (Policy Priorities) ประกอบด้วย
- การแก้ปัญหาระบบการเงินฐานรากให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับการสร้างข้อมูล และใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการใช้ข้อมูลในระบบการเงินฐานราก การออกแบบเครื่องมือทางการเงินที่ตอบโจทย์การพัฒนาของครัวเรือนกลุ่มต่างๆ โดยเอาความเข้าใจปัญหาของครัวเรือนเป็นตัวตั้ง และการเพิ่มบทบาทสถาบันการเงินชุมชนซึ่งมีความใกล้ชิดกับเกษตรกรในการปิดช่องว่างการเข้าถึงทางการเงินอย่างทั่วถึงและยั่งยืน
- การแก้หนี้เดิม เพื่อให้ครัวเรือนสามารถปลดหนี้ได้ในที่สุด ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับการมุ่งเป้าการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมกับศักยภาพและเป็นธรรม การสร้างแรงจูงใจ การสร้างความตระหนักรู้ และมีตัวกลางมาช่วยเกษตรกรแก้หนี้ร่วมกับสถาบันการเงิน
- การเติมหนี้ใหม่อย่างทั่วถึง ตอบโจทย์ และยั่งยืนขึ้น โดยใช้ข้อมูลมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการทำประกันสินเชื่อ และการทบทวนรูปแบบของสินเชื่อที่ใช้การค้ำประกันกลุ่มให้ยั่งยืนขึ้น
- การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจให้ครัวเรือน
- การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและความรู้ความเท่าทันทางการเงิน
6. การปรับเปลี่ยนนโยบายช่วยเหลือของรัฐ เพื่อสร้างแรงจูงใจที่ถูกต้องและสอดคล้องกัน จากนโยบายเดิมๆ ที่เน้นการช่วยเหลือระยะสั้น เช่น การพักหนี้ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยงานวิจัยพบว่าอาจสร้างแรงจูงใจในการชำระหนี้ที่บิดเบี้ยวไปเป็นนโยบายที่เน้นช่วยให้ครัวเรือนสามารถชำระและปลดหนี้ได้ในระยะยาว