×

เมื่อเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นในครอบครัวเกี่ยวกับทรัพย์สิน แต่ไม่อยากขึ้นศาล มีทางออกแบบไหนบ้าง

15.08.2025
  • LOADING...
ความขัดแย้งในครอบครัว

กลไกการจัดการความขัดแย้งในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่มีความมั่งคั่งสูง ซึ่งมีประเด็นที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนกว่าปกติ หากไม่ต้องการให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวเดินเรื่องไปถึงศาลจะมีทางออกอย่างไรบ้าง

 

ดร. นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ใน รายการ Morning Wealth อธิบายความเข้าใจในเรื่องของกลไกการจัดการความขัดแย้งในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่มีความมั่งคั่งสูง ซึ่งมีประเด็นที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนกว่าปกติ

 

โดยชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ครอบครัวที่มี ธรรมนูญครอบครัว (Family Constitution) ซึ่งเป็นกติกาที่เขียนขึ้นเพื่อป้องกันและจัดการข้อพิพาทไว้แล้ว ก็ยังสามารถเกิดความขัดแย้งได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องมีกลไกและระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการความขัดแย้งโดยเฉพาะ ซึ่งทางออกเหล่านั้นไม่ได้มีแค่การพึ่งพาศาลเท่านั้น แต่ยังมีทางเลือกอื่นที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกว่า โดยเฉพาะเมื่อต้องการรักษาความสัมพันธ์และชื่อเสียงของครอบครัวเอาไว้

 

สำหรับทางเลือกที่ไม่ต้องขึ้นศาลเหล่านี้แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ การประนอมข้อพิพาท (Mediation) และ อนุญาโตตุลาการ (Arbitration) ซึ่งครอบครัวสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของระดับความขัดแย้ง

 

อนุญาโตตุลาการ ทางออกที่รวดเร็วและเป็นความลับ

 

ดร. นิติ ยังอธิบายต่อความสำคัญกับกลไกอนุญาโตตุลาการเป็นพิเศษ โดยอธิบายว่า นี่คือกระบวนการที่คู่กรณีตกลงให้บุคคลที่สามซึ่งมีความเป็นกลางและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เป็นผู้ตัดสินข้อพิพาทและทำ ‘คำชี้ขาด’ ซึ่งคำชี้ขาดนี้มีผลผูกพันทางกฎหมายและสามารถบังคับใช้ได้จริง ข้อดีที่โดดเด่นของอนุญาโตตุลาการ มีดังนี้

 

  1. เลือกผู้ชี้ขาดได้ โดยคู่พิพาทสามารถเลือกอนุญาโตตุลาการที่เหมาะสมจากรายชื่อของสถาบันที่เชื่อถือได้ ซึ่งผู้ชี้ขาดเหล่านี้มักจะเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์สูงในเรื่องที่กำลังเป็นข้อพิพาท เช่น หากข้อพิพาทเกี่ยวกับธุรกิจตระกูล ก็สามารถเลือกผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง ต่างจากการพิจารณาคดีในศาลซึ่งคู่กรณีไม่สามารถเลือกผู้พิพากษาได้เอง

 

  1. เป็นระบบปิดและเป็นความลับ ซึ่งกระบวนการพิจารณาคดีในศาลเป็นระบบเปิดที่บุคคลภายนอกสามารถเข้าฟังได้ แต่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการเป็นระบบปิด ทุกข้อมูลและรายละเอียดของข้อพิพาทจะถูกเก็บเป็นความลับอย่างเคร่งครัด ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เรื่องภายในครอบครัวรั่วไหลสู่สาธารณะและส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูล

 

  1. รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการถือเป็นที่สิ้นสุด ไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ ทำให้ข้อพิพาทสามารถยุติลงได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากกระบวนการทางศาลที่อาจใช้เวลานานหลายปี

 

  1. สามารถบังคับใช้ได้ทั่วโลก โดยมีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการสามารถนำไปบังคับใช้ได้ในประเทศที่ลงนามในอนุสัญญานิวยอร์ก (New York Convention) ซึ่งครอบคลุมเกือบทุกประเทศทั่วโลก นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญสำหรับครอบครัวที่มีทรัพย์สินอยู่ต่างประเทศ เพราะสามารถนำคำชี้ขาดที่ได้ในไทยไปบังคับใช้กับทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศได้ทันที ซึ่งการนำคำพิพากษาของศาลไทยไปบังคับใช้ในต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่ามาก

 

  1. รักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการใช้อนุญาโตตุลาการไม่ใช่แค่การตัดสินว่าใครถูกหรือผิด แต่คือการหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้เพื่อรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัวเอาไว้ เพราะไม่ว่าอย่างไร คู่ขัดแย้งก็ยังคงมีสถานะเป็นคนในครอบครัวกันต่อไป

 

เปิดคุณสมบัติของ ‘อนุญาโตตุลาการ’

 

ดร. นิติ ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นอนุญาโตตุลาการ โดยระบุว่า อนุญาโตตุลาการไม่ได้จำเป็นต้องเป็นนักกฎหมายเสมอไป แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และคุณสมบัติที่ได้รับการรับรองจากสถาบันที่อยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรม

โดยผู้ที่ถูกเลือกจะต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ที่อาจมีกับคู่กรณีทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of interest) หากมีความสัมพันธ์ใด ๆ เช่น เคยเป็นญาติ ผู้ร่วมงาน หรือที่ปรึกษา ก็จะไม่สามารถเป็นอนุญาโตตุลาการได้ เพื่อให้มั่นใจในความเป็นกลางอย่างแท้จริง

 

นอกจากนี้ ตามกฎหมายแล้ว อนุญาโตตุลาการเองก็มีความรับผิดชอบทางกฎหมาย หากทำผิดหรือตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน

 

‘การประนอมข้อพิพาท’ อีกทางเลือกสำหรับข้อขัดแย้งที่ไม่รุนแรง

 

นอกจากอนุญาโตตุลาการแล้ว ดร. นิติยังกล่าวถึง การประนอมข้อพิพาท (Mediation) ซึ่งเป็นอีกกลไกที่น่าสนใจ โดยผู้ประนอม (Mediator) จะเข้ามาเป็นคนกลางเพื่อช่วยให้คู่กรณีได้เจรจาหาทางออกร่วมกัน ซึ่งผู้ประนอมนี้สามารถเป็นได้ทั้งคนในครอบครัว (In-house Mediator) ที่ทุกฝ่ายให้ความเคารพ หรือเป็นผู้ประนอมจากสถาบันภายนอกที่ไม่มีความสัมพันธ์กับคู่กรณีเลยก็ได้ กลไกนี้เหมาะสำหรับข้อขัดแย้งที่มีระดับความรุนแรงไม่มากนัก และคู่กรณีต้องการที่จะร่วมกันหาทางออกโดยเฉพาะเพื่อรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นหลัก

 

ดร. นิติ ทิ้งท้ายว่า การมีกลไกเหล่านี้ถือเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของการวางแผนครอบครัว (Family Planning) ซึ่งควรทำตั้งแต่ Day One หรือตั้งแต่แรกเริ่มที่ยังไม่มีความขัดแย้ง เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตกลงกันล่วงหน้าว่าหากเกิดความขัดแย้งขึ้นในอนาคต จะใช้กลไกใดในการจัดการ

 

ทั้งนี้หากปล่อยให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัวแล้วค่อยมาหาข้อตกลง ก็อาจสายเกินไป เพราะเมื่ออารมณ์อยู่เหนือเหตุผล การเจรจาหาทางออกร่วมกันจะกลายเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดิม การวางแผนในวันนี้จึงเป็นการสร้างเกราะป้องกันให้ครอบครัวสามารถรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising