กรมสรรพากร ร่วมกับ บก.ปอศ. ทลายแหล่ง ‘ใบกำกับภาษีปลอม’ มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท เตือนใบกำกับภาษีปลอมมีโทษทางอาญาและแพ่ง และเป็นการทำลายระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เชื่อระบบ e-Tax invoice & e-Receipt ช่วยป้องกันปัญหาได้
ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 กรมสรรพากรร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เข้าตรวจค้นสถานที่ออกใบกำกับภาษีปลอม จำนวน 5 แห่ง จึงพบใบกำกับภาษีจำนวนมาก ซึ่งสร้างมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับการออกใบกำกับปลอม รวมไปถึงการออกใบกำกับภาษีแต่ไม่มีการส่งมอบหรือซื้อขายสินค้าจริง เพื่อให้ผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอมนำไปใช้ลดหย่อนหรือหักเครดิตทางภาษี
ใบกำกับภาษีปลอมทำลายระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
อธิบดีกรมสรรพากรกล่าวอีกว่า “การออกและใช้ใบกำกับภาษีปลอม เป็นการทำลายระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และนอกจากผู้ออกต้องรับผิดทางแพ่งแล้ว ยังมีโทษทางอาญาด้วย ส่วนผู้ที่นำใบกำกับภาษีไปใช้ ถือเป็ภาษีซื้อต้องห้าม ไม่มีสิทธินำมาใช้เป็นเครดิต ต้องรับผิดทางแพ่งและมีโทษทางอาญา”
ออกใบกำกับภาษีปลอมมีโทษอย่างไร?
สำหรับผู้ประกอบการทั้งที่เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีและผู้ใช้ใบกำกับภาษีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมิได้มีการประกอบกิจการจริง อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา 86/13 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร มีโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญา โดยโทษทางแพ่งต้องรับผิดเบี้ยปรับ 2 เท่าของจำนวนภาษีตามใบกำกับภาษีพร้อมทั้งเงินเพิ่มตามกฎหมายอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของจำนวนเงินภาษี และโทษทางอาญาต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 200,000 บาท”
ระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ช่วยป้องกันปัญหาได้
อธิบดีกรมสรรพากรกล่าวทิ้งท้ายว่า “เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ใช้ใบกำกับภาษีต้องซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบกิจการซึ่งมีตัวตนจริง และเป็นผู้มีสิทธิออกใบกำกับภาษีเท่านั้น กรมสรรพากรขอแนะนำให้ผู้ประกอบกิจการเข้าสู่ระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกปลอมแปลงใบกำกับภาษี ลดความซ้ำซ้อนและลดปัญหาการจัดการเอกสารที่อยู่ในรูปของกระดาษ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเอกสาร เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่องค์กร เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต และตามมาตรฐานสากลต่อไป”