มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊ก ประกาศว่าเฟซบุ๊กจะเริ่มจัดลำดับข่าวที่เชื่อถือได้ของสำนักข่าวและสื่อต่างๆ บนนิวส์ฟีด เพื่อแก้ปัญหาการนำเสนอข้อมูลผิดๆ รวมถึงเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก โดยต้องการให้ผู้ใช้ใช้เวลาทั้งหมดบนเฟซบุ๊กด้วยความเพลิดเพลินและมีประโยชน์ ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟซบุ๊กในปี 2018
ซักเคอร์เบิร์กระบุในเพจของตนเองว่า “เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้ประกาศปรับเปลี่ยนหน้านิวส์ฟีดของเฟซบุ๊ก โดยจะส่งเสริมให้ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนมากขึ้น ดังนั้นจึงลดการเห็นคอนเทนต์สาธารณะอื่นๆ ซึ่งรวมถึงข่าว วิดีโอ และโพสต์ของแบรนด์ต่างๆ อย่างไรก็ตาม แม้ว่านี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เฟซบุ๊กยังคงให้ความสำคัญกับข่าว เพราะข่าวเป็นหัวข้อสำคัญสำหรับผู้คนในการเริ่มต้นบทสนทนาอยู่เสมอ
“วันนี้ผมจะขออัพเดตการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 2 ของปีนี้ นั่นคือการทำให้แน่ใจว่าข่าวที่พวกคุณเห็นจะลดน้อยลง แต่มีคุณภาพ ผมได้ขอให้ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างหลักประกันว่าเราจะจัดลำดับข่าวที่น่าเชื่อถือ ให้ข้อมูล มีความเป็นโลคัล และเราจะเริ่มจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ในสัปดาห์หน้านี้”
ซีอีโอเฟซบุ๊กให้เหตุผลว่า ทุกวันนี้มีคอนเทนต์ที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกและข้อมูลผิดๆ มากเกินไป ขณะที่โซเชียลมีเดียช่วยให้ผู้คนเผยแพร่ข่าวสารได้รวดเร็วกว่าเมื่อก่อน เพราะฉะนั้นหากเราไม่จัดการกับปัญหาเหล่านี้ เราก็จะกลายเป็นช่องทางในการเผยแพร่คอนเทนต์เหล่านี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการโปรโมตข่าวที่มีคุณภาพจึงมีความสำคัญอย่างมาก
ในส่วนของวิธีการกำหนดว่าแหล่งข่าวไหนเป็นที่น่าเชื่อถือในวงกว้างหรือไม่นั้น ซักเคอร์เบิร์กเผยว่า เราเคยพิจารณาสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญภายนอกองค์กร แต่คิดว่าอาจติดปัญหาเรื่องความเป็นกลาง ดังนั้นเราจึงตัดสินใจสอบถามชุมชนผู้ใช้เพื่อให้พวกเขาส่งฟีดแบ็กกลับมาให้เราได้ทำการจัดอันดับ
เฟซบุ๊กจะสำรวจโดยสอบถามผู้ใช้ว่าคุ้นเคยกับแหล่งข่าวนั้นๆ หรือไม่ หากคุ้นเคย พวกเขาก็จะถูกถามต่อไปว่าเชื่อถือแหล่งข่าวนั้นมากน้อยแค่ไหน เพราะเราคิดว่า องค์กรสื่อบางแห่งอาจมีความน่าเชื่อถือสำหรับกลุ่มผู้อ่านหรือผู้ชมเท่านั้น ขณะที่บางองค์กรได้รับความเชื่อถืออย่างกว้างขวาง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้กดติดตามสื่อเหล่านั้นโดยตรงก็ตาม
การอัพเดตใหม่ครั้งใหม่นี้จะปรับสมดุลของข่าวที่ผู้ใช้เห็นบนฟีดให้มาจากแหล่งข่าวที่ชุมชนเฟซบุ๊กกำหนดว่าเชื่อถือได้ ขณะที่จำนวนคอนเทนต์ข่าวบนเฟซบุ๊กจะลดลงเหลือประมาณ 4% จากระดับ 5% ในปัจจุบัน
อ้างอิง: