Facebook รายงานผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาส 3/19 (กรกฎาคม-กันยายน) พบรายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 17,652 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 532,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วราว 29% ในจำนวนนี้แบ่งเป็นรายได้จากค่าโฆษณา 17,383 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และรายได้จากบริการเพย์เมนต์และค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีก 269 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทพบว่าอยู่ที่ประมาณ 6,091 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 184,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วราว 19%
ประเด็นที่น่าสนใจคือถึงแม้ ณ วันนี้เม็ดเงินส่วนใหญ่ของ Facebook ยังมาจากค่าโฆษณามากกว่า 98.5% โดยรายได้จากค่าธุรกรรมและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ยังคิดเป็นแค่สัดส่วน 1.5% เท่านั้น แต่ถ้ามองในเชิงการเติบโตแบบปีต่อปี รายได้จากก้อนดังกล่าวก็มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 43% สูงกว่ารายได้จากโฆษณา (YoY +28%) สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจของ Facebook ในขาอื่นๆ ก็มีทิศทางการเติบโตที่ดีวันดีคืน
เมื่อย้อนมาดูตัวเลขผู้ใช้งานแบบรายเดือน (MAUs) จะพบว่าตัวเลขผู้ใช้งานในไตรมาสนี้มีอยู่ที่ประมาณ 2,450 ล้านราย สูงที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (2017-2019) และเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 8%
หากแยกตามโซนภูมิภาคจะพบว่าผู้ใช้งานในโซนเอเชียแปซิฟิกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นแบบปีต่อปีถึง 10% รองลงมาคือผู้ใช้งานในประเทศอื่นๆ ที่มีสัดส่วนการเติบโตที่ราว 9% ส่วนผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรป ถือว่าเริ่มอิ่มตัวแล้ว เพราะมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่ 2% และ 3% ตามลำดับเท่านั้น
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอ Facebook กล่าวว่า “เรามีช่วงเวลา (ไตรมาส) ที่ดี ธุรกิจและชุมชนของเรายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นกัน เรายังคงมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม รวมถึงการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีเพื่อพัฒนาคุณภาพความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก”
เมื่อเร็วๆ นี้ซักเคอร์เบิร์กเพิ่งจะขึ้นให้การต่อคณะกรรมการสภาบริการทางการเงินของสหรัฐอเมริกาในประเด็นการพัฒนาโปรเจกต์ลิบรา ทั้งยังถูกวิพากษ์จารณ์อย่างหนักกรณีการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มก้อนทางการเมืองสามารถซื้อสื่อโฆษณาได้อย่างอิสระ ซึ่งล่าสุดผู้ให้บริการอีกเจ้าอย่าง Twitter ก็เพิ่งจะประกาศแบนการซื้อโฆษณาการเมืองไปหมาดๆ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: