F1 The Movie คือหนึ่งในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของปี 2025 ที่พาผู้ชมก้าวเข้าสู่โลกของการแข่งขัน Formula One สุดเข้มข้น ภายใต้การกำกับของ Joseph Kosinski ที่เคยพาผู้ชมทะยานสู่ท้องฟ้าบนเครื่องบินรบมาแล้วใน Top Gun: Maverick (2022) ส่วนคราวนี้เขาจะมาผู้ชมเข้าสนามแข่งไปพร้อมกับนักแสดงระดับแถวหน้าอย่าง Brad Pitt ที่ร่วมโปรเจกต์ทั้งในฐานะโปรดิวเซอร์และนักแสดงนำ ร่วมด้วย Damson Idris จากซีรีส์ Snowfall (2017), Javier Bardem จาก No Country for Old Men (2007) และ Kerry Condon จาก The Banshees of Inisherin (2022)
F1 The Movie เล่าเรื่องราวของ Sonny Hayes (Brad Pitt) อดีตนักแข่งรถ F1 ฝีมือฉกาจที่หายหน้าจากวงการไปนานหลายสิบปี แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะพาให้เขาต้องกลับสู่สนามอีกครั้ง เมื่อ Ruben (Javier Bardem) อดีตเพื่อนร่วมทีมและเจ้าของทีม F1 ชื่อ Apex ที่ทำผลงานไม่ดีนักจนทำให้ทีมอาจถูกยุบหลังจบฤดูกาล เขาจึงชักชวน Sonny มาช่วยสร้างปาฏิหาริย์ให้กับทีมในฐานะนักแข่ง เรื่องราวการแข่งขัน F1 ของอดีตนักแข่งจอมเก๋าที่โลกต่างจับตามองจึงเริ่มต้นขึ้น
แม้ว่าส่วนตัวผู้เขียนจะไม่เคยติดตามชมการแข่งขัน Formula One มาก่อน แต่ด้วยชื่อของผู้กำกับ Joseph Kosinski โปรดิวเซอร์ Jerry Bruckheimer รวมถึงเหล่าทีมงานเบื้องหลังด้านอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ Top Gun: Maverick ทำให้ความสนใจหลักๆ ที่เรามีต่อ F1 The Movie จะเป็นในแง่ของผลงานเรื่องใหม่ของผู้กำกับและทีมสร้างที่ชื่นชอบและรอคอยผลงานใหม่ๆ เสียมากกว่า ตรงนี้เองที่เป็นหนึ่งในโจทย์ของการเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ว่าถ้าเราไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมหรือไม่เคยให้ความสนใจกีฬาชนิดนี้เลย เรา (ซึ่งก็คือผู้ชมคนหนึ่ง) จะสามารถสนุกไปกับเรื่องราวบนหน้าจอได้มากน้อยขนาดไหน
จุดเด่นข้อแรกที่อยากกล่าวถึงคือผู้กำกับและทีมสร้างค่อนข้างบาลานซ์ ‘ความสมจริง’ ของการแข่งขัน F1 กับ ‘ความบันเทิง’ ที่สามารถเชื่อมโยงผู้ชมทุกกลุ่ม ทั้งแฟนๆ ของ F1 และผู้ชมทั่วไปให้ยังสนุกสนานไปกับเรื่องราวที่พวกเขาอยากนำเสนอได้อย่างลงตัว
แน่นอนว่าทีมสร้างยังคงใส่ใจกับการลงรายละเอียดของการแข่งขันอย่างเจาะลึก ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบงานสร้าง การเลือกใช้สถานที่ถ่ายทำ สภาพอากาศ รวมถึงการอธิบายรูปแบบทำงานร่วมกันเป็นทีมและกฎกติกาต่างๆ เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นภาพรวมของการแข่งขันและถ่ายทอดออกมาให้สมจริงมากที่สุด
ขณะเดียวกันทีมสร้างก็เข้าใจดีว่าพวกเขาไม่ได้กำลังทำสารคดีเจาะลึกวงการ F1 เราจึงจะสังเกตว่ามีหลายช่วงของภาพยนตร์ที่ผู้กำกับและทีมสร้างสามารถใส่ข้อมูลเพื่ออธิบายสิ่งที่ตัวละครกำลังสนทนากันให้ผู้ชมเห็นภาพมากขึ้นได้ แต่พวกเขาก็เลือกจะละรายละเอียดบางส่วนไว้
อย่างเช่น ในช่วงหนึ่งที่ตัวละครของ Brad Pitt และ Kerry Condon กำลังพูดคุยถึงการปรับแต่งรถ F1 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับโชว์ภาพการทดสอบรถที่มีอุปกรณ์ไฮเทคเต็มห้อง ซึ่งพวกเขาจะเขียนบทให้ตัวละครอธิบายให้ผู้ชมฟังว่าสิ่งต่างๆ ที่เห็นเหล่านี้คืออะไร มันทำงานอย่างไร แต่พวกเขาก็เลือกที่จะปล่อยให้บทสนทนาของตัวละครไหลไปตามปกติ ไม่มีการอธิบายข้อมูลเพิ่มเติมที่ลึกเกินไป แต่เราก็ยังสามารถเข้าใจสาระสำคัญของบทสนทนาในฉากนี้เช่นเดิมว่า “เอาละ รถที่คุณต้องการมันอาจจะเพิ่มประสิทธิภาพก็จริง แต่มันก็แลกมาด้วยความปลอดภัยที่ลดลง” หรือจะเป็นการปรากฏตัวของเหล่านักแข่งรถ F1 ชื่อดังที่หากคุณรู้จักพวกเขาก็อาจเพิ่มความสนุกและรอยยิ้มได้ไม่น้อย แต่ก็เช่นกัน ถึงจะไม่รู้จักพวกเขามันก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของเรื่องราวลดน้อยลง
ประเด็นต่อมาที่เราคิดว่าอาจเป็นทั้งจุดเด่นและข้อสังเกตของภาพยนตร์ในเวลาเดียวกันคือเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างสูตรสำเร็จ ตรงไปตรงมา ซึ่งจะว่าไปแล้ว F1 The Movie แอบชวนให้นึกถึงเรื่องราวของ Top Gun: Maverick อยู่ไม่น้อย โดยว่าด้วยเรื่องราวของตัวเอกรุ่นเก๋าที่ไฟยังแรงกล้ากับการทำในสิ่งที่ตัวเองหลงใหล แต่ด้วยเหตุการณ์บางอย่างจึงทำให้เขาต้องมาเจอกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดแตกต่างจากตัวเองอย่างสุดขั้ว ก่อนที่พวกเขาจะได้เรียนรู้และยอมรับในกันและกัน
จุดที่ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าเป็นข้อสังเกตคือ แม้ในรายละเอียดปลีกย่อยทั้งสองเรื่องจะไม่ได้เหมือนกันแบบเป๊ะๆ แต่พอประเด็นของเรื่องที่คล้ายกันเหล่านี้มาจากลายมือของผู้กำกับและทีมสร้างชุดเดียวกัน มันจึงทำให้เราแอบรู้สึกติดขัดอยู่เล็กๆ เพราะเราเคยประทับใจกับ Top Gun: Maverick มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อ F1 The Movie พูดถึงเรื่องราวที่คล้ายกัน มันจึงยิ่งทำให้เราสามารถคาดเดาได้ง่ายกว่าเดิมว่าเนื้อเรื่องจะดำเนินไปอย่างไร (แม้ทั้งสองเรื่องจะไม่เกี่ยวโยงกันเลยก็ตาม)
อย่างไรก็ตาม หากตัดสลับมามองในแง่ของจุดเด่น เราก็ต้องยอมรับและชื่นชมตัวผู้กำกับและทีมสร้างมากๆ ที่พวกเขาสามารถนำความสูตรสำเร็จดังกล่าวมาขัดเกลา ปรุงแต่ง และยกระดับมันเพื่อมอบประสบการณ์ชมภาพยนตร์ในโรงอันน่าตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมจนเราไม่อาจละสายตา โดยเฉพาะฉากการแข่งขัน F1 ที่พวกเขาใช้ทุกเทคนิคทางภาพยนตร์ ทั้งการออกแบบมุมกล้อง จังหวะการตัดต่อ แสงเงาที่ตกกระทบบนหมวกของนักแข่ง ไปจนถึงดนตรีประกอบที่พาผู้ชมเข้าไปสัมผัสกับมุมมอง แรงกดดัน และความเร็วที่ตัวละครกำลังเผชิญในสนามเสมือนเรากำลังนั่งอยู่กับเขาจริงๆ
ขณะที่การแสดงของ Brad Pitt เองก็โชว์เสน่ห์และความเก๋าออกมาได้อย่างครบถ้วน จนทำให้เรื่องราวของ Sonny มีมิติที่น่าสนใจ ทั้งการต้องพยายามเรียนรู้และปรับตัวกับทีมที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้น ความเก่งกาจในการมองสถานการณ์และวางกลยุทธ์ขณะแข่งขัน หรือจะเป็นพาร์ตดราม่าของตัวละครที่ต้องแบกรับบาดแผลในอดีตทั้งทางกายและทางใจไว้อยู่ตลอด
การแสดงอันยอดเยี่ยมของ Brad Pitt ที่เราจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองพูดว่า “เท่สุดๆ!” ไปกี่ครั้ง จึงถือเป็นจุดเด่นสำคัญของเรื่องที่ชักชวนให้เราอยากติดตามเรื่องราวของนักแข่งจอมเก๋าคนนี้ไปได้ตลอดทางไม่แพ้งานสร้างอันน่าตื่นตา
อีกหนึ่งประเด็นที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง Sonny และ Ruben ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมทีมและคู่แข่งกันมายาวนาน ที่แม้ตัวภาพยนตร์จะไม่ได้เล่าย้อนอดีตเรื่องราวของทั้งคู่มากนัก แต่ทุกบทสนทนาและการกระทำที่ถูกเขียนมาเป็นอย่างดีก็ช่วยบอกเล่าถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นของพวกเขาได้โดยที่ไม่ต้องขยายความให้ยืดยาว
หรือจะเป็นเรื่องราวของ Sonny และพ่อที่ภาพยนตร์ก็ไม่ได้หยิบประเด็นนี้มาพูดถึงมากนักเช่นกัน มีเพียงการฉายรูปถ่ายของ Sonny และพ่อในวัยเด็กให้เราเห็นไม่กี่ฉาก รวมถึงการใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไว้ในทุกอากัปกิริยาของ Sonny ก็สามารถอธิบายให้เราเข้าใจในทันทีว่าพ่อของ Sonny มีความสำคัญกับตัวเขามากขนาดไหน
ในภาพรวมแล้ว F1 The Movie ถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แห่งปีที่เรากล่าวได้อย่างเต็มว่าผู้ชมจะได้รับประสบการณ์ชมภาพยนตร์ในโรงอันน่าตื่นตาทั้งด้านงานภาพ เสียง และความตื่นเต้นอย่างเต็มอิ่ม หรือหากใครที่อาจจะไม่ได้ติดตามการแข่งขัน F1 มาก่อน ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังมีเรื่องราวของตัวละครที่สนุกสนาน เข้าถึงได้ไม่ยาก ไปจนถึงฉากแข่งรถสุดมันที่อาจจุดประกายให้คุณอยากลองเข้ามาทำความรู้จักโลกแห่งความเร็วใบนี้มากยิ่งขึ้นก็เป็นได้
F1 The Movie วางกำหนดฉายวันที่ 26 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่
ภาพ: Warner Bros.