การส่งออกเดือนพฤษภาคม 2024 ขยายตัวดี หนุนสัญญาณส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือนพฤษภาคม 2024 อยู่ที่ 26,219.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 7.2%YoY (เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน) เร่งขึ้นจาก 6.8%YoY ในเดือนก่อน อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกหลังหักทองคำและปัจจัยฐาน หดตัว -1.3%MoM_SA (เทียบกับเดือนก่อนแบบปรับฤดูกาล) หลังจากเร่งตัวถึง 3.8%MoM_SA ในเดือนก่อน สะท้อนการส่งออกของไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง ในภาพรวมมูลค่าการส่งออกไทย 5 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 120,493.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 2.6%
การส่งออกไทยเดือนนี้โดดเด่นในกลุ่มสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ ไปตลาดจีน โดย
- สินค้าเกษตรขยายตัวมากถึง 36.5% หลังจากหดตัว -3.8% ในเดือนก่อน จากการส่งออกผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวสูงถึง 128% (โดยเฉพาะตลาดจีนที่ขยายตัว 142.4%) ยางพารา 46.6% และไก่แปรรูป 10.2% สินค้าทั้ง 3 ชนิดนี้มีส่วนช่วยให้มูลค่าการส่งออกในเดือนพฤษภาคมขยายตัวได้ดีขึ้นถึง 3.9% จากอัตราการขยายตัวรวม 7.2%
- สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 4.6% ชะลอลงจาก 9.2% ในเดือนก่อน โดยคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ทองคำ ทองแดงและของทำด้วยทองแดง และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เป็นสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี ขณะที่อากาศยาน ยานอวกาศและส่วนประกอบ เป็นสินค้าสำคัญที่หดตัว
- สินค้าแร่และเชื้อเพลิงขยายตัว 2.6% หลังจากหดตัว -9.2% ในเดือนก่อน
- สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวชะลอลงมากเหลือ 0.8% จาก 12.7% ในเดือนก่อน โดยไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ และอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นสินค้าหลักที่ขยายตัว ขณะที่น้ำตาลทรายเป็นสินค้าสำคัญที่หดตัว
ตลาดจีนและอินเดียขยายตัวดีมาก แต่ตลาดออสเตรเลียและตะวันออกกลางกลับหดตัว โดย
- ตลาดจีนขยายตัวมากถึง 31.2% หลังจากหดตัวติดต่อกัน 3 เดือน ตามการส่งออกผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ที่พลิกกลับมาขยายตัวสูง 142.4% หลังจากหดตัวติดต่อกัน 3 เดือน
- ตลาดอินเดียขยายตัวเร่งขึ้น 23% จาก 13.3% ในเดือนก่อน จากการส่งออกไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ที่ขยายตัวมากถึง 196.8% เป็นสำคัญ (13.3% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปอินเดียทั้งหมด) นอกจากนี้ เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล ยังเป็นสินค้าสำคัญที่ขยายตัวได้ดีในตลาดอินเดีย
- ตลาดออสเตรเลียกลับหดตัว -2.4% หลังจากขยายตัวดีสองหลักต่อเนื่องนาน 7 เดือน จากการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่หดตัว -13.1% (49.5% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปออสเตรเลียทั้งหมด)
- ตลาดตะวันออกกลางกลับมาหดตัวอีกครั้ง -8.1% ในหลายกลุ่มสินค้าสำคัญ
ดุลการค้าไทยกลับมาเกินดุล ผลจากการนำเข้าหดตัว สวนทางการส่งออกที่ขยายตัวดี
มูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 25,563.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พลิกกลับมาหดตัว -1.7% หลังจากขยายตัว 4 เดือนติดต่อกัน จากยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง รวมถึงสินค้าทุนที่หดตัวมากถึง -27.7% และ -7.5% ตามลำดับ ขณะที่สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเชื้อเพลิง ขยายตัว 2.4% 2.1% และ 1.5% ตามลำดับ
ดุลการค้าระบบศุลกากรในเดือนนี้กลับมาเกินดุล 656.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากขาดดุล -1,641.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนเมษายน สำหรับภาพรวม 5 เดือนแรกของปี 2024 ดุลการค้าขาดดุล -5,460.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าส่งออกไทยจะขยายตัวต่อเนื่องในเดือนมิถุนายนและช่วงครึ่งปีหลัง
SCB EIC ประเมินว่า มูลค่าการส่งออกในเดือนมิถุนายนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับมุมมองของกระทรวงพาณิชย์ในแถลงการณ์ตัวเลขล่าสุดนี้ โดยมองว่า มูลค่าการส่งออกไทยปีนี้จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ 2.6% (ตัวเลขระบบดุลการชำระเงิน) จากแรงสนับสนุนหลายด้าน ได้แก่
- เศรษฐกิจโลกในปี 2024 ที่มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงปีก่อนที่ 2.7% โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับดีขึ้นมากจากอุปสงค์ในประเทศเติบโตดี จีนปรับดีขึ้นเช่นกันจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อินเดียและอาเซียนขยายตัวดี แม้ยูโรโซนและญี่ปุ่นยังเติบโตต่ำ
- ภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศจะกลับมามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในปีนี้ จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตโลกอยู่เหนือระดับ 50 ต่อเนื่อง 3 เดือนหลังจากหดตัวมานาน นอกจากนี้ ดัชนี PMI ยอดคำสั่งซื้อใหม่ในภาคการผลิตจากต่างประเทศ (Export Order) ปรับเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 50 ต่อเนื่อง 2 เดือนหลังจากหดตัวมานานกว่า 2 ปี รวมถึงดัชนี PMI ปริมาณผลผลิตภาคการผลิตในอนาคต (Future Output) ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีก่อน สะท้อนการขยายตัวของภาคการผลิตโลกในระยะข้างหน้า
- ราคาสินค้าส่งออกที่ดี เช่น ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณผลผลิตในตลาดโลกที่ลดลงจากภัยแล้งและนโยบายควบคุมการส่งออกสินค้าในบางประเทศ รวมถึงราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงตามความเสี่ยงการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันรัสเซียจากยูเครน ความไม่แน่นอนของความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
- แนวโน้มการส่งออกสินค้าหลายชนิดที่หดตัวในไตรมาสแรกจะพลิกกลับมาขยายตัวได้ในช่วงที่เหลือของปี เช่น ปิโตรเคมี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงสินค้าหลายชนิดที่ขยายตัวได้ในช่วงไตรมาสแรกและมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะยางธรรมชาติ ทูน่า เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
แนวโน้มมูลค่าการส่งออกไทยปี 2025 ขยายตัวใกล้เคียงปีนี้
มูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2025 จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงปีนี้ โดยเศรษฐกิจอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตเร่งขึ้น อินเดียยังเติบโตสูงแม้จะชะลอเล็กน้อย ญี่ปุ่นและยูโรโซนฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังไม่สดใสนัก ขณะที่จีนมีแนวโน้มเติบโตต่ำลงจากปัญหาเชิงโครงสร้าง และสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง นอกจากนี้ ปริมาณการค้าโลกยังมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นในปี 2025 ตามการประเมินขององค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank)
อย่างไรก็ดี ปริมาณการค้าโลกในปี 2025 ยังต้องเผชิญความเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะ 1. ผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะทำให้สหรัฐฯ เป็น Protectionism ใช้เครื่องมือกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตในประเทศ อีกทั้งหาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งจะมีความเสี่ยงเพิ่มเติมให้สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศ 10% ตามที่หาเสียงไว้
- ผลการเลือกตั้งในสหภาพยุโรป สะท้อนว่าความนิยมพรรคฝ่ายขวาจัดเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่กลุ่มพรรคซ้าย-กลางสูญเสียที่นั่ง จะมีนัยต่อนโยบายสหภาพยุโรป ในระยะข้างหน้าที่เป็นชาตินิยมมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายการค้าที่อาจพิจารณาประเด็นภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างจีนและสหรัฐฯ และอาจเปลี่ยนมาสนับสนุนและปกป้องตลาดและอุตสาหกรรมสำคัญในสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น
- สงครามรัสเซีย-ยูเครน และสงครามอิสราเอล-ฮามาสที่ยังไม่สิ้นสุด
- ปัญหา China Overcapacity ที่ทำให้จีนส่งออกตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่อุปสงค์ในประเทศที่ยังซบเซาทำให้สินค้านำเข้าเจาะตลาดจีนได้น้อยกว่า ส่งผลให้ดุลการค้าจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอาจทำให้หลายชาติใช้มาตรการกีดกันการค้ากับจีนมากขึ้น
ที่สำคัญคือภาคการส่งออกของไทยมีแนวโน้มจะไม่ได้รับอานิสงส์จากการค้าโลกที่ขยายตัวเร่งขึ้นเท่าที่ควร โดย SCB EIC มีข้อสังเกตว่า การส่งออกไทยในช่วงที่ผ่านมาฟื้นตัวสอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกน้อยลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาคการผลิตสินค้าของไทยยังพึ่งพาอุตสาหกรรมเก่าและปรับตัวผลิตสินค้าตามความต้องการใหม่ๆ ของโลกได้ไม่เต็มที่นัก SCB EIC จึงประเมินมูลค่าการส่งออกในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวไม่สูงมากที่ 2.6% ใกล้เคียงปีนี้