จากกระแสซีรีส์ เด็กใหม่ 2 (Girl From Nowhere Season 2) ได้รับความนิยมติดอันดับ Top 10 ใน 11 ประเทศ รวมถึงไต้หวันและฮ่องกง ผนวกกับกลยุทธ์ใหม่ของช่อง 3 ที่หวังดันคอนเทนต์ละครไทยด้วยการขายลิขสิทธิ์ให้กับต่างประเทศแบบเต็มสูบเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากโฆษณา (อ่าน ความเปลี่ยนแปลงหลัง 1 สัปดาห์ที่สรยุทธกลับมา และอนาคตใหม่ของช่อง 3 ฝากไว้ที่ใคร)  ทำให้ผู้เขียนเริ่มมีความหวังว่าละครไทยจะกลับมาดังในต่างประเทศแบบที่เคยเกิดกระแส T Wave หรือ T Wind เมื่อราว 10 ปีก่อน ส่วนกระแสละครไทยในต่างประเทศรอบใหม่นี้จะไปดังที่ไหนบ้าง เราลองมาวิเคราะห์กัน 

พลังขับเคลื่อน T Wave ระลอกใหม่มาจากบริการวิดีโอสตรีมมิงที่หันมาสนใจคอนเทนต์ละครและซีรีส์ไทย หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับกระแส K Series มาก่อนหน้านี้ เพราะคอนเทนต์ก็ถือว่าสนุกเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศในอาเซียนเลยทีเดียว อย่างเมื่อ 10  ปีที่แล้วมีละครไทยจากค่าย Exact และ Scenario ไปฮิตที่จีนอยู่หลายเรื่องทั้ง สงครามนางฟ้า และ รอยอดีตแห่งรัก สร้างกระแสความนิยมให้กับ ป้อง-ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ และ บี้-สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว ในจังหวะใกล้ๆ กัน ภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก ก็ดังมากๆ ในแถบอาเซียนจน มาริโอ้ เมาเร่อ กลายเป็นพระเอกขวัญใจเอเชีย รวมทั้งภาพยนตร์จาก GDH ก็ไปประสบความสำเร็จในหลายประเทศ

ในปี 2561 Viu บริการวิดีโอสตรีมมิงที่ให้บริการใน 16 ประเทศ ทั้งเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ ก็จับมือกับค่าย GMM Grammy นำคอนเทนต์ไทยไปสตรีมในแพลตฟอร์มของตัวเอง และได้กระแสตอบรับอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นละครเรื่อง เมียน้อย, แรงเทียน, ดอกคูนเสียงแคน รวมทั้ง Club Friday The Series และเมื่อกลางปีที่แล้ว คอนเทนต์ละครของช่อง one31 ก็ได้ไปออกอากาศใน Viu พร้อมซับไตเติลภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น มงกุฎดอกหญ้า, เกมรักเอาคืน, รักแลกภพ ฯลฯ

ภาพจาก เกมรักเอาคืน

ภาพจาก ตราบฟ้ามีตะวัน

ขณะที่คอนเทนต์ของช่อง 3 ก็ขายให้กับ Viu ผ่าน JKN Global Media เมื่อปลายปีที่แล้วไปถึง 7 เรื่องคือ รากบุญ 2, เจ้าบ้านเจ้าเรือน, เงินปากผี, ผมอาถรรพ์, เขาวานให้หนูเป็นสายลับ, เพลิงพรางเทียน และ ตราบฟ้ามีตะวัน ซึ่งเรื่องสุดท้ายนี้ออกอากาศแบบคู่ขนาน (Simulcast) ที่เราได้เห็นปรากฏการณ์ละครออกอากาศ 7 วันรวดมาแล้ว 

ส่วนกระแสตอบรับของคอนเทนต์ละครไทยส่วนใหญ่จะเป็นประเภทละครดราม่า อย่างเช่น ฝ้ายแกมแพร, เมียน้อย และ Club Friday The Series ได้กระแสตอบรับดีในมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยเฉพาะเมียน้อยสามารถอยู่ใน Viu Top Ranking ได้นานหลายสัปดาห์ ทั้งนี้ดารานักแสดงก็มีส่วนในการช่วยผลักดันให้ละครแต่ละเรื่องอยู่ในกระแสตอบรับดีด้วยเช่นกัน อย่างตราบฟ้ามีตะวันและเขาวานให้หนูเป็นสายลับ ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในมาเลเซียและอินโดนีเซีย เนื่องด้วยตัวนักแสดงเองที่มีฐานแฟนคลับในประเทศนั้นอยู่แล้ว 

ภาพจาก เมียน้อย 

ภาพจาก อกเกือบหักแอบรักคุณสามี

ขณะที่ WeTV ซึ่งมีฐานคนดูส่วนใหญ่อยู่ในจีน เพราะเป็นแบรนด์ที่ขยายตลาดมาจาก Tencent VDO ซึ่งเป็นวิดีโอสตรีมมิงแพลตฟอร์มอันดับ 1 ของประเทศจีน ก็มีละครไทยที่ไปประสบความสำเร็จหลายเรื่อง เช่น อกเกือบหักแอบรักคุณสามี สามารถทำสถิติยอดวิวละครทั้งแบบพากย์ภาษาจีน และแบบบรรยายภาษาจีนผ่านแอปพลิเคชัน Tencent Video สูงเกือบ 50 ล้านวิว และติดเทรนด์บนโซเชียลมีเดียในจีนอีกด้วย ส่วน ฉลาดเกมส์โกงเดอะซีรีส์ ซึ่งเป็น WeTV Original Thai Content ที่ออกอากาศทั้งในไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และจีน (ไต้หวัน) ออกอากาศแค่ตอนแรกเพียงวันเดียวก็ทำให้ WeTV ติดอันดับแอปพลิเคชันยอดนิยม (Top Download) ของ App Store (อันดับ 1) และ Play Store (ติดอันดับท็อป 5) และหลังจากออกอากาศไปได้เพียง 2 สัปดาห์ ซีรีส์ก็ได้ขึ้นแท่นยอดวิวรวมสูงสุดอันดับหนึ่งบน WeTV ทั่วเอเชีย

ภาพจาก ฉลาดเกมส์โกงเดอะซีรีส์ 

สิ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้สำหรับ T Wave ระลอกใหม่ก็คือซีรีส์วาย ต้องยอมรับว่าผู้ผลิตชาวไทยทำซีรีส์ได้โดนใจคนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Love Sick The Series, 2gether The Series เพราะเราคู่กัน, แปลรักฉันด้วยใจเธอ, ธารไทป์เดอะซีรีส์ ฯลฯ ผู้เขียนเองมีประสบการณ์สุดเซอร์ไพรส์เมื่อตอนทำนิตยสาร คือมีออร์เดอร์นิตยสารที่มีบทสัมภาษณ์ของ ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี และ วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร จากประเทศในแถบอเมริกาใต้ แปลว่าซีรีส์วายสัญชาติไทยทะลุทะลวงไปไกลถึงอีกซีกโลก 

ความสำเร็จล่าสุดของซีรีส์วายสัญชาติไทยที่ได้ข้อมูลจาก WeTV คือ นับสิบจะจูบ ที่นับว่าเป็นซีรีส์วายที่ได้รับความนิยมสูงสุดใน WeTV ในปี 2564 ออกอากาศในหลายพื้นที่ของเอเชีย โดยความนิยมอันดับ 1 คือ ไทย ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ เวียดนาม ฮ่องกง, มาเก๊า และไต้หวัน ตามลำดับ โดยเพิ่มกลยุทธ์ให้มีเวอร์ชันอันคัต ทำให้แฟนซีรีส์ต้องมาดูมาเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมใน WeTV ส่วนในโลกออนไลน์ นับสิบจะจูบ ติดเทรนด์ Twitter ในทุกพื้นที่ที่ออกอากาศ และในตอนจบ #NubsibTheEnd ติดเทรนด์อันดับหนึ่ง 1 ของไทย และติดเทรนด์อันดับ 3 ของโลกเลยทีเดียว 

ภาพจาก นับสิบจะจูบ

ผู้เขียนเชื่อว่านี่คือหมุดหมายใหม่ที่ผู้ผลิตคอนเทนต์ไทยต้องเพิ่มเข้ามาเป็นโจทย์ของการทำงาน ที่จะมองเพียงผู้ชมภายในประเทศอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องพัฒนาคุณภาพรอบด้านให้คอนเทนต์ไปได้ไกลในระดับโลกด้วย

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล