วันนี้ (9 กรกฎาคม) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เป็นประธานการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ โดยนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในที่ประชุมว่า สำหรับมาตรการเยียวยาจะต้องดูแลทุกภาคส่วน โดยออกมาตรการที่เหมาะสม และได้มอบหมายสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งพิจารณาให้เร็วที่สุด และย้ำว่า การสื่อสารต้องไม่ทำให้สับสนอลหม่าน นอกจากนี้ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขมีศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operation Center: EOC) และมีคณะกรรมการต้องชี้แจงเฉพาะเรื่องตามอำนาจหน้าที่ ขณะที่ ศบค. ก็มีอำนาจหน้าที่ชัดเจน จึงให้ตระหนักว่าเราทุกคนคือ ‘ทีมประเทศไทย’
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ได้กำชับทุกภาคส่วนในการตรวจสอบคัดกรองเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง และต้องมีเพิ่มขึ้นทุกจุด ทุกพื้นที่ รวมถึงจุดตรวจของเอกชนและสาธารณสุข ขณะที่ในส่วนของโรงพยาบาลสนามได้สั่งการไปแล้วตั้งแต่แรก ซึ่งต้องเร่งดำเนินการศูนย์คัดกรองและให้มีการประกาศไปเลยว่ามีที่ไหนบ้าง และต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน พร้อมการยกระดับเตียงโดยการบริหารจัดการเพิ่มและรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ โดยจัดหาให้ครบทุกกลุ่ม รวมถึงแพทย์เกษียณและนักศึกษาแพทย์
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงและพื้นที่เสี่ยงจะต้องเพิ่มความเข้มข้นขึ้น โดยยืนยันจะต้องดูแลทุกคนบนแผ่นดินไทย ส่วนการกำหนดจำนวนวัคซีนให้สอดคล้องกับจำนวนคนที่ต้องเร่งฉีด พร้อมกันนี้ให้เตรียม Home Isolation โดยต้องเตรียมอุปกรณ์จัดหาให้พร้อม สิ่งสำคัญที่สุดต้องร่วมมือด้วยความเข้าใจให้ทุกคน ทุกหน่วยงานประชาสัมพันธ์ ให้เข้าใจในแนวทางเดียวกัน ขณะที่ในส่วนด้านความมั่นคงได้สั่งการไปแล้วเพื่อให้ทันสถานการณ์
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันขอให้สร้างความเข้าใจถึงสถานการณ์โลก โดยต้องให้ประชาชนรับรู้ว่าสถานการณ์ภายนอกยังไม่น่าไว้วางใจ นอกจากนี้การลักลอบเข้าแดนต้องเพิ่มความเข้มงวด โดยตำรวจตระเวนชายแดนจะมีการประสานกับประเทศเพื่อนบ้านในการรับส่งกลับ อีกทั้งในส่วนของแรงงานต้องมีการลงไปสำรวจและขึ้นทะเบียนไม่ให้มีการลักลอบเข้ามาเด็ดขาด ต้องทำลายกระบวนการลักลอบ
พล.อ. ประยุทธ์ กำชับด้วยว่า ขณะเดียวกันต้องแก้ไขเฟกนิวส์ให้ได้ เพราะจะเป็นการสร้างความปั่นป่วน ย้ำว่าทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวในที่ประชุม ศบค. มีมติเห็นชอบให้ขยายการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ออกไปอีก 2 เดือน คือ เดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ โดยรายละเอียดมาตรการและผลการประชุม ศบค. จะมีการแถลงให้ทราบต่อไป