พิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) กล่าวว่า เมื่อภาวะเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกขยายตัวต่ำในรอบ 10 ปี ทำให้ปัจจุบันการส่งออกหลายประเทศหดตัวตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง เพราะสงครามการค้า (Trade War) ทำให้การส่งออกของไทยในปี 2562 มีแนวโน้มคาดว่าจะติดลบ 2%
ดังนั้น EXIM Bank จึงได้ออกมาตรการในปลายปีนี้ และคาดว่าการส่งออกของไทยปี 2563 จะกลับมาเติบโตที่ 0-2%
โดย EXIM Bank ได้ออกสองมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออก SMEs ได้แก่
1. มาตรการ EXIM เสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก คือสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเพื่อลดภาระการชำระหนี้ เพิ่มสภาพคล่องกิจการ เงินทุนหมุนเวียน หรือลงทุน สามารถขอวงเงินกู้ระยะยาวและวงเงินกู้ระยะสั้น
- วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลาชำระคืนสูงสุด 7 ปี
- อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ 3.99% ต่อปี
- สามารถใช้หนังสือค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันร่วมกับหลักประกันอื่นๆ ได้ ฟรีค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อผ่าน บสย. สูงสุด 4 ปี เป้าหมายวงเงินอนุมัติ 2,000 ล้านบาท
2. มาตรการ EXIM ลดภาระในการชำระหนี้ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ การเพิ่มสัดส่วนการเบิกเงินกู้ให้แก่ลูกค้า EXIM Bank ได้แก่
- ลูกค้าที่มีวงเงินกู้ยืมระยะยาวจะขยายระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 2 ปี กรณีขยายระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ไม่เกิน 1 ปี จะได้รับอัตราดอกเบี้ยลดลงจากเดิม 0.125% ต่อปี
- ลูกค้าที่มีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจะได้รับการเพิ่มสัดส่วนการเบิกกู้และลดอัตราดอกเบี้ย โดยเบิกกู้ได้เพิ่มสูงสุด 95% ของมูลค่า L/C และ 85% ของมูลค่า P/O พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.125% ต่อปีเป็นระยะเวลา 1 ปี มีวงเงินสนับสนุน 4,000 ล้านบาท
ทั้งสองมาตรการสามารถสมัครได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ซึ่งทางธนาคารคาดว่าจะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ราว 15,700 ล้านบาท ช่วยให้เกิดการจ้างงานในระบบ 5,200 ราย เพิ่มสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้ของผู้ส่งออก SMEs ได้กว่า 750 ราย
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์