เช้าวันที่ 13 มกราคม 2019 ผมกับสื่ออีก 4 แห่ง ซึ่งรวมถึงนิตยสาร Empire ของประเทศอังกฤษ ได้รับโอกาสไปเยี่ยมกองถ่ายหนังเรื่อง Extraction ของ Netflix (ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่า Dhaka) ที่จังหวัดนครปฐม โดยหนังกำลังถ่ายทำเป็นวันที่ 36 จากทั้งหมด 57 วัน ซึ่งในประเทศไทยเริ่มถ่ายทำตั้งแต่ 30 พฤศจิกายน 2018 และยาวไปถึง 15 กุมภาพันธ์ 2019 โดยไปถ่ายทำทั้งที่ราชบุรี ภูเก็ต และกรุงเทพฯ อีกด้วย ส่วนก่อนหน้านั้นก็ไปถ่ายทำที่เมืองธากา เมืองหลวงของประเทศบังกลาเทศ และเมืองอาห์เมดาบัดในประเทศอินเดีย
ด้วยความที่ผมไม่เคยไป Set Visit หนังฮอลลีวูดมาก่อน ก็ต้องยอมรับว่านาทีแรกที่เหยียบถึงสถานที่ถ่ายทำของ Extraction ทุกอย่างว้าวไปหมด อยากถ่ายรูปเซตอัพต่างๆ รถเทรลเลอร์นักแสดง โซนอาหาร โซนแต่งตัว แต่งหน้า และที่ทำให้ผมขนลุก (อาจฟังดูเวอร์ แต่จริง) คือฉากที่เขาจำลองเมืองธากาขึ้นมา ซึ่งดีไซน์โดย ฟิลิป ไอวีย์ (เคยออกแบบฉากเรื่อง Elysium) และได้ เบเวอร์ลีย์ ดันน์ (เคยชนะออสการ์จากผลงานเรื่อง The Great Gatsby) มาตกแต่งฉากให้ พวกเขาเก็บรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่ตกแต่งตึกแถวกับป้ายโฆษณาภาษาเบงกาลี มีการพ่นสีให้ตึกดูเก่าเหมือนมีเชื้อราเกาะ มีสายไฟห้อยระโยงระยาง มีการนำเข้ารถตุ๊กตุ๊กจากประเทศอินเดีย หรือแม้แต่บนพื้นก็เป็นขยะที่ใส่ใจรายละเอียด เช่น ถุงขนมของประเทศบังกลาเทศ นอกจากนี้ทางทีมงานยังต้องเช่าสถานที่และจ่ายเงินให้ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นให้หยุดทำงานช่วงการถ่ายทำ
แต่ผมก็อดถ่ายรูปเพราะทางทีมงานบรีฟไว้และให้เซ็นสัญญา Confidentiality / Embargo Agreement ว่าห้ามถ่าย พูดถึง หรือเผยแพร่อะไรทั้งสิ้นจากกองถ่ายนี้ก่อนที่หนังจะเข้าฉาย ซึ่งก็เป็นมาตรการเหมือนหนังทุกเรื่องของฮอลลีวูด
พอถึงเวลาสำคัญที่ต้องไปสัมภาษณ์ คริส เฮมส์เวิร์ธ ผมก็ทำใจว่าไม่น่าง่าย และเตือนตัวเองว่าอย่าหงุดหงิด เพราะทีมงานหนังและทีมงานพีอาร์ Netflix อาจจะจุกจิกจู้จี้เรื่องคำถาม เรื่องเวลา แถมเราก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วคริสเองจะเป็นคนแบบไหน เขาอาจเป็นฮีโร่นอกจอก็ได้ หรือเป็นเหมือนดาราฮอลลีวูดระดับเอลิสต์ที่เราได้อ่านตามเว็บบอร์ดหนังที่สื่อออกมาแฉถึงพฤติกรรมแย่ๆ ก็ได้
แต่ไม่ครับ Netflix ปล่อยให้เราถามเต็มที่ ไม่มีการขัดอะไร และ คริส เฮมส์เวิร์ธ ก็มานั่งให้สัมภาษณ์บนเก้าอี้สตูลธรรมดา พร้อมถือกาแฟใส่นมอัลมอนด์ในขวดสเตนเลสง่ายๆ เขายังสวมชุดทหาร เพิ่งเสร็จจากการถ่ายฉากบู๊ในอุณหภูมิร้อนอบอ้าว ใบหน้ายังเต็มไปด้วยเหงื่อ รอยแผล และเปื้อนไปด้วยฝุ่น แต่เขาก็เต็มที่ในเวลาสัมภาษณ์เกือบ 25 นาที ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะใครที่ทำงานด้านสื่อจะรู้ดีว่า การสัมภาษณ์ดาราฮอลลีวูดบางครั้งแค่ 10 นาทีก็ถือว่าโชคดีแล้ว
คริส เฮมส์เวิร์ธ และผู้กำกับ ซัม ฮาร์เกรฟ
ผมพูดตรงนี้เลยนะครับ คริสคือนักแสดงที่ติดดิน อบอุ่น ตลก เท่ มีเสน่ห์ และเป็นกันเองมากที่สุดที่ผมเคยสัมภาษณ์มาในชีวิต จะไทยหรือเทศก็ตาม
จะหาว่าเวอร์อีกก็ได้ครับ ผมเข้าใจทันทีเหมือนกันว่าทำไมคนทั่วโลกดูคลั่งไคล้เขาขนาดนี้ และนั่นทำให้เขาก้าวมาอยู่แถวหน้าของฮอลลีวูดอย่างรวดเร็วภายในแค่ 11 ปี
บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ ผมไม่รู้คุณจะสัมผัสได้ไหม แต่อยากบอกว่าสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจสุดเกี่ยวกับคริส คือเขาเป็นคนที่ไม่มีอีโก้ ไม่พยายามวางตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง และไม่ขายความเป็น ‘ผมคือ คริส เฮมส์เวิร์ธ ผมคือพระเอก ผมคือคนสำคัญสุดของหนังเรื่องนี้’
สิ่งที่เขาทำให้ผมรู้สึกได้คือ Extraction ผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นความทุ่มเทและทีมเวิร์กของทุกคน ซึ่งหนังจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็อาจไม่สำคัญเทียบเท่า ผมคิดว่าถ้าทุกคนคิดและตอบได้เหมือนเขาก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ทุกอย่างคือ Me, Me, Me
ภาพเบื้องหลังการถ่ายทำ Extraction
ประสบการณ์การถ่ายทำภาพยนตร์ Extraction เป็นอย่างไรบ้าง
หนังเรื่องก่อนๆ ของผมมักจะถ่ายทำกับกรีนสกรีนหรือในสตูดิโอที่มีแอร์เป็นหลัก แต่เรื่องนี้เราถ่ายกันแบบโหดๆ ลุยๆ ซึ่งสิ่งที่เราได้กลับมา ผมรู้สึกภูมิใจมาก หลายฉากเราถ่ายกันแบบ Oners เป็นศัพท์เฉพาะของวงการ ที่จะถ่ายหลาย Sequence ต่อๆ กันแบบ Long Shot โดยไม่ต้องคัต ซัม ผู้กำกับของเราเป็นคนที่เคยคิดฉากบู๊ตรงบันไดในเรื่อง Atomic Blonde ซึ่งเราก็พยายามนำมาฟีลนั้นมาปรับใช้ในเรื่องนี้กับฉากยาว 11-12 นาที เช่น ฉากรถไล่ตาม… พูดได้ว่าประสบการณ์ของหนังเรื่องนี้สร้างความตื่นเต้นและความแปลกใหม่ให้ผมตลอดเวลา แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าบ้างก็ตาม
อะไรทำให้คุณตัดสินใจรับเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้
โจ รุสโซ เขียนบทเรื่องนี้ไว้หลายปีแล้ว ก่อนที่จะเริ่มถ่ายหนัง Avengers ผมก็ได้อ่านคร่าวๆ แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเล่นหนังแอ็กชันมาเยอะ อยากลองอย่างอื่นบ้าง แต่พอผมลองกลับไปอ่านบทอีกครั้ง ก็เห็นว่าจริงๆ แล้ว Extraction มีหัวใจและมิตรภาพที่แฝงอยู่ตลอดเรื่อง ซึ่งใช่ครับ เรื่องนี้มีโศกนาฏกรรมและมีความเศร้าเยอะ แต่เราก็จะได้เห็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละคร Tyler Rake ที่ผมเล่น และตัวละคร Ovi ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง มันทำให้เห็นว่าแม้สองคนนี้จะเหมือนขาดเรื่องอะไรไปในชีวิต แต่ก็เชื่อมต่อกันและกลายเป็นคู่หู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
มากไปกว่านั้น การได้ทำงานกับซัมมาแล้วใน Avengers ได้เห็นและรู้ว่าเขาทำอะไรได้บ้าง ควบคู่กับศึกษาประวัติการทำงานของเขาที่ถือว่าอยู่บนยอดเขาในโลกสตันท์แมนก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจ แต่ที่สำคัญกว่าคือเขาเป็นคนที่มีหัวใจเผื่อแผ่มาก และฉลาดในการตัดสินใจ ซึ่งเราก็ได้เห็นสองสิ่งนี้ถูกถ่ายทอดเข้าไปในวิธีการทำหนังของเขา โดยเฉพาะฉากที่เน้นอารมณ์ดราม่า ซึ่งสำหรับผมเป็นสิ่งที่ภูมิใจเหมือนกัน และได้ค้นหาตัวเองในมิติใหม่ๆ ในฐานะนักแสดง ซึ่งเป็นด้านที่ไม่เคยลงลึกมาก่อน ก็ต้องขอบคุณการกำกับของซัมและมุมมองของเขา
คริส เฮมส์เวิร์ธ ในบท Tyler Raker ทหารรับจ้างตลาดมืดจากออสเตรเลีย ที่ได้รับภารกิจให้ไปช่วยชีวิตลูกชายของมาเฟียค้ายาระดับโลกที่กำลังติดคุก
I decided to scrap this move from the fight sequence in extraction. Partly because I couldn’t pull it off but mostly because it was pretty pointless in a fight. Plus @BobbyHanton’s a show off. pic.twitter.com/GuIKkntM0k
— Chris Hemsworth (@chrishemsworth) April 16, 2020
อยากให้คุณเล่าถึงตัวละคร Tyler Rake ให้ฟังหน่อยว่าเขาเป็นคนอย่างไร
ด้านหนึ่งตัวละคร Tyler ก็มีความย้อนยุคเหมือนพวกตัวละครที่ สตีฟ แม็กควีน เคยเล่นในหนังแอ็กชัน หรือพวกหนังแอ็กชันยุค 80 ที่แบบว่าทั้งเมืองต้องกลับตาลปัตรและจู่โจม ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ค่อยพูด แต่ในขณะเดียวกัน Tyler ก็มีความลึกซึ้งที่ทำให้เขาแตกต่าง
Tyler Rake เป็นอดีตทหารออสเตรเลียที่ชีวิตดันเดินออกขวาและตกอยู่ในสภาวะจิตใจที่หดหู่ ในตอนแรกตัวละครนี้ไม่ได้จะมาจากออสเตรเลียนะครับ แต่ผมรู้สึกว่าเราไม่ค่อยได้เห็นพระเอกฮีโร่หนังแอ็กชันที่มาจากประเทศนี้ นอกเหนือจากพวกตัวละครแบบ Crocodile Dundee ที่ก็กลายเป็นความ Cliche และชอบโดนเหมารวม แถมผมเองก็จะได้ไม่ต้องฝึกสำเนียงอื่นระหว่างฝึกพวกคิวบู๊ต่างๆ (หัวเราะ)
แต่ถ้าให้พูดโดยรวม Tyler ก็เปรียบเสมือนหมีที่โหด ไม่ค่อยสบอารมณ์ และนิ่ง แต่ก็มีเหตุผลที่เขาเป็นแบบนี้ ซึ่งในหนังเราก็จะได้เรียนรู้สิ่งนี้กัน
คุณต้องฝึกการใช้อาวุธสงครามมากน้อยขนาดไหนสำหรับเรื่องนี้
พวกสตันท์แมนมาฝึกกันก่อนเป็นเดือนๆ พอผมมาก็เน้นฝึกพวกฉากต่อสู้ด้วยมือและมีดเป็นหลัก แต่โชคดีที่ไม่กี่ปีก่อนผมได้แสดงหนังเรื่อง 12 Strong ที่ต้องใช้ปืนเยอะเหมือนกัน ซึ่งผมก็นำทักษะมาใช้ในเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น และเรามีหน่วยทหารที่ปรึกษาประจำกองถ่าย พวกเขาจะมาช่วยฝึกช่วงพักเบรกหรือตอนเปลี่ยนฉาก ซึ่งมันสำคัญมากที่เราต้องใช้ปืนให้คล่อง เพราะคุณไม่อยากให้ทหารที่ดูหนังเรื่องนี้มาชี้บอกว่าเราใช้อาวุธผิดๆ ถูกๆ
ซ้าย: Rudhraksh Jaiswal รับบทเป็น Ovi ลูกชายของมาเฟียค้ายาระดับโลก
รู้สึกอย่างไรที่ได้กลับมาทำงานกับ ซัม ฮาร์เกรฟ อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในฐานะพระเอกหนังเรื่องแรกที่เขาเป็นผู้กำกับ
ทุกครั้งที่ผมต้องตอบคำถาม ผมก็จะรู้สึกว่าฟังดูไม่ใช่ เพราะใช่ บนกระดาษซัมเป็นผู้กำกับครั้งแรก แต่ที่จริงแล้วเขามาพร้อมประสบการณ์มากกว่าผู้กำกับบางคนที่เคยทำงานด้วยเป็นพันเท่า ซึ่งผู้กำกับบางคนอาจจะเขียนบทได้ แต่อาจเพิ่งอยู่ในกองถ่ายหนังเรื่องแรกหรือเรื่องที่สองในชีวิตด้วยซ้ำ
สิ่งที่ผมดีใจคือในวงการหนังทุกวันนี้เปิดกว้างมากขึ้น ยอมร่วมงาน มองเห็นคุณค่าของหน่วยที่สองและพวกทีมสตันท์ ซึ่งเอาจริงๆ พวกเขารู้มากกว่าเราเยอะ และแค่กำลังรอโอกาสอยู่
ผมดีใจและขอบคุณซัมที่เขาตีความและเข้าใจอารมณ์ของตัวละครในเรื่องนี้ได้อย่างลงตัว เขาเป็นคนใจกว้าง ยอมรับฟังไอเดียที่ผมมี และไม่กลัวที่จะลองทำ… บางครั้งผมอาจเชื่อมั่นอย่างหนึ่ง แต่มันไม่เวิร์ก ซึ่งผมก็กล้าที่จะมองตาเขาและพูดว่า “ใช่ มันไม่เวิร์ก ผมผิด คุณถูก” จากนั้นเราก็หัวเราะด้วยกันและลองอย่างอื่นต่อ ความง่ายตรงนี้เป็นอะไรที่หายากในวงการนี้
แล้วการทำงานกับ Rudhraksh Jaiswal ที่รับบทเป็น Ovi เป็นอย่างไรบ้าง
กับ Rudhraksh ผมทึ่งในความสามารถเขามาก ผมไม่มีโอกาสได้ดูผลงานอื่นๆ ของเขามาก่อน แต่จำได้ว่าประทับใจกับเทปออดิชันเขามาก พอได้ทำงานด้วยกัน เขาเป็นคนที่รับฟังและเข้าใจการกำกับได้ดีกว่าผู้ใหญ่บางคนที่ผมเคยทำงานด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเจอได้ง่าย โดยเฉพาะกับเด็กวัยนี้ที่หลายคนจะฝึกซ้อมหน้ากระจกหรือซ้อมให้พ่อแม่ดูหลายครั้ง พอถึงเวลาถ่ายจริงก็ไม่สามารถเอาเวอร์ชันนั้นออกจากหัวได้ แต่กับ Rudhraksh เขายืดหยุ่นและลองอะไรใหม่ได้ตลอดเวลา ซึ่งหลายครั้งก็ทำให้พวกเราต้องเสียน้ำตา เพราะไม่รู้ว่าเขาไปเอาอารมณ์มาใส่ในการแสดงจากไหน
หรือบางครั้งเราคุยเล่นกันช่วงพักกอง แต่พอถึงเวลาเข้าฉากปุ๊ป เขากลับเทใจออกมาในการแสดงและมันทิ่มแทงหัวใจผม แม้จริงๆ แล้วในฉากนั้นผมต้องโมโหและอารมณ์เกรี้ยวกราด ผมแอบมองไปที่ซัมข้างหลังกล้อง ก็เห็นเขากำลังเช็ดน้ำตาอยู่ ผมเชื่อเลยว่า Rudhraksh จะมีอนาคตไกลในวงการนี้ เพราะเขาพยายามเรียนรู้ตลอดเวลา
Persistence pays off – not only did this guy get an autograph, he also does all my motorbike stunts from now on. pic.twitter.com/6StPOFFRoe
— Chris Hemsworth (@chrishemsworth) April 21, 2020
Quite happy to let the completely insane experts handle this particular shot! Our stunt team risked their lives and pushed their bodies to get some of these shots, and it’s truly incredible to see. The movie wouldn’t have been possible without these guys 🙏💪👍 pic.twitter.com/E79rnkXm1T
— Chris Hemsworth (@chrishemsworth) April 18, 2020
ก่อนหน้านี้ Extraction เพิ่งไปถ่ายทำที่ประเทศอินเดีย อยากให้คุณเล่าถึงประสบการณ์ในตอนนั้นให้ฟังหน่อย
เราสนุกมากกับการถ่ายทำที่อินเดีย และได้รับการต้อนรับแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ผมนึกว่าตัวเองเป็นวง The Beatles อย่างไรไม่รู้ รู้สึกตัวเองสำคัญเกินความเป็นจริงมาก แล้วพอกลับไปออสเตรเลียก็จะไม่มีใครแคร์ผมเลย ถ้าในอนาคตผมรู้สึกดาวน์ ผมคงจะกลับไปอินเดียจะได้รู้สึกดีขึ้น (หัวเราะ)
แล้วสำหรับประเทศไทยล่ะ
สุดยอดเหมือนกับที่อินเดียเลยครับ ตอนแรกพวกเรากังวลว่าการถ่ายทำจะรบกวนคนที่อยู่แถวนี้ เพราะมีเสียงระเบิด เสียงยินปืนตลอดเวลา แต่ทุกคนก็ให้ความสนับสนุนอย่างดี
ก่อนหน้านี้โดยเฉพาะ Avengers ผมถ่ายหนังในสตูดิโอเยอะมาก เช่นที่ Pinewood เมืองแอตแลนตา การได้มาออกกอง On Location แบบนี้ ได้พูดคุยกับคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ ก็ถือว่าสำคัญมาก สิ่งนี้ทำให้ผมย้อนนึกถึงหนึ่งในเหตุผลที่ตัดสินใจเป็นนักแสดงตั้งแต่แรก ซึ่งคือการได้เดินทางรอบโลกและค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ
คริส เฮมส์เวิร์ธ และ Rudhraksh Jaiswal จากหนังเรื่อง Extraction
อะไรเป็นข้อดีหรือข้อเสียของการรับแสดงหนังเรื่องนี้ หากเทียบกับผลงานอย่างภาพยนตร์ Marvel
หนังทุกเรื่องก็มีความเสี่ยงหมดแหละผมว่า ผมเคยเล่นทั้งหนังฟอร์มยักษ์และสเกลเล็ก ซึ่งก็เคยทั้งเวิร์กและแป้ก ผมเคยคุยกับ รอน โฮเวิร์ด (ผู้กำกับ In The Heart of the Sea ที่คริสเป็นนักแสดงนำ) ว่าทุกครั้งที่เล่นหนัง เราก็ทุ่มเทและใช้หลักการเดิมทุกครั้ง แต่เราไม่รู้หรอกว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร และคนจะมาดูหนังของคุณหรือไม่ หรือบางครั้งพออ่านบทก็คิดว่าดี แต่ก็ดันไม่เวิร์กพออยู่บนหน้าจอ
สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผมตามหาตอนเลือกบทที่จะเล่น คือว่ามันจะสร้างความแปลกใหม่หากเทียบกับผลงานอื่นๆ ที่เคยเล่นไหม และหนังจะใหม่ไหมสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เพราะผมคิดว่าสิ่งพวกนี้จะช่วยให้เราผลักดันตัวเองได้มากกว่าเดิม
ในขณะเดียวกันสำหรับหนัง Extraction ผมก็โชคดี เพราะมีเกราะป้องกันที่ได้ โจ รุสโซ และบริษัท AGBO ของเขามาโปรดิวซ์ให้ ซึ่งก่อนเรื่องนี้บริษัทเขาได้ผลิตสองภาพยนตร์ที่ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ (Avengers: End Game) และทีมเขาก็มีความรู้ด้านการทำหนังสไตล์นี้
แถมการได้แสดงหนังให้กับ Netflix ก็ถือว่าเป็นอะไรใหม่สำหรับผม ซึ่งผมเองอยากศึกษาว่าหนังรูปแบบไหนจะเข้าหากลุ่มผู้ชมได้มากสุด ไม่ว่าจะเป็นหนังที่ทำให้คุณต้องลุกจากโซฟาที่บ้านเพื่อไปดูในโรง หรือหนังที่ทำให้คนนั่งบนโซฟาในบ้านและดูจนจบเรื่องเหมือน Netflix
คริส เฮมส์เวิร์ธ และ Randeep Hooda ที่รับบทเป็น Saju ในเรื่อง Extraction
คุณอยากให้ Extraction ฉายในโรงภาพยนตร์ไหม
ผมไม่แน่ใจว่ากฎเกณฑ์คืออะไร แต่เคยได้ยินว่าทุกปี Netflix จะปล่อยหนัง 3-4 เรื่องในโรงภาพยนตร์ แต่นั่นก็อยู่นอกเหนือขอบเขตและอำนาจการตัดสินใจของผม
ตอนแรกผมตื่นเต้นมากที่หนังเรื่องนี้จะฉายเฉพาะทางแพลตฟอร์มสตรีมมิง แต่พอถ่ายทำไปเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกว่าควรได้ฉายบนภาพยนตร์ด้วยเหมือนกัน
แล้วคุณเห็นด้วยไหมว่าการทำหนังฟอร์แมตสตรีมมิงไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้ Box Office
มันเป็นประเด็นที่หลายคนในวงการกำลังพูดถึงอยู่ ผมค่อนข้างชอบไอเดียของการที่หนังฉายแบบจำกัดโรงมากกว่า ผมไม่อยากโกหกคุณว่ารายได้ Box Office ช่วงสัปดาห์แรกไม่มีความสำคัญ เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งสร้างความกังวลให้เราทุกคน โดยเฉพาะถ้าหน้าของคุณเด่นอยู่บนโปสเตอร์ ผมเลยคิดว่าการฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงก็จะช่วยลดความกดดันตรงนี้
เราต้องเข้าใจว่าบางครั้งที่คนไม่ได้ไปดูหนังที่โรงอาจไม่ใช่เพราะหนังไม่ดี แต่มันมีปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่นเรื่องภูมิอากาศไม่ดี มีการแข่งขันฟุตบอลในทีวี หรือช่วงเสาร์อาทิตย์นั้นมีอย่างอื่นกำลังเกิดขึ้น ในสมัยนี้มันมีหลายองค์ประกอบที่ต้องแข่งขันกัน ซึ่งถ้าหนังไม่ทำเงินในสัปดาห์แรก มันก็จะโดนผลักออกไปและไม่มีโอกาสไปต่อ ซึ่งเพราะเหตุนี้ผมเลยคิดว่าคนในวงการสนใจแพลตฟอร์มสตรีมมิงมากขึ้น
That’s a wrap for me!! Plenty of blood sweat and tears, couldn’t have done it without the dream team and all the incredible cast and crew. This film’s gonna be one hell of a ride, get ready 💪🤙👍 #SamHargrave @jasinboland 📷 @BobbyHanton pic.twitter.com/jyNGazpgRu
— Chris Hemsworth (@chrishemsworth) February 3, 2019
หลังจากถ่ายเรื่องนี้จบ แพลนต่อไปของคุณคืออไร
ผมคงไม่ได้ถ่ายอะไรอีกทั้งปี และจะได้กลับไปอยู่บ้านสัก 7 เดือน ซึ่งแน่นอนเดี๋ยวผมต้องโปรโมต Avengers, Men In Black และก็ Extraction แต่มันก็แค่ไม่กี่สัปดาห์ ส่วนตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือการได้กลับไปอยู่บ้าน
ผมภูมิใจมากนะกับหนังเรื่องนี้ แต่ผมไม่ได้มีเวลาพักหายใจเลยเพราะถ่ายหนังตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ผมเลยต้องการเวลากลับบ้านเพื่อไปทบทวนชีวิตและชาร์จพลังใหม่ เพราะมันง่ายมากที่ผมจะทำงานต่อไปเรื่อยๆ ลูกๆ ผมก็กำลังโตด้วย และผมก็ได้เห็นหลายอย่างผ่านไปเร็วมากช่วง 8 หรือ 9 ปีที่ผ่านมาในวงการ
ลูกชายผมกำลังจะเข้าโรงเรียนแล้วทั้งคู่ ซึ่งก็คงจะดีถ้าผมได้กลับไปอยู่บ้าน ไปรับไปส่งพวกเขาที่โรงเรียน พากันไปเล่นเสิร์ฟ และแค่อยู่บ้านกับครอบครัว
Extraction เริ่มฉายทาง Netflix วันที่ 24 เมษายน 2020
ภาพ: Courtesy of Netflix
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
เกร็ดความรู้เบื้องหลังภาพยนตร์ Extraction
- ซัม ฮาร์เกรฟ ผู้กำกับเรื่องนี้เคยรับตำแหน่ง Stunt Coordinator ในภาพยนตร์อย่างเช่น Avengers: Endgame, Thor: Ragnarok, Suicide Squad, The Hunger Games: Mockingjay Part 1 และ Captain American: Civil War
- นิวตัน โธมัส ซีเกล ผู้กำกับภาพ เขาเคยอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่อง Drive และ Bohemian Rhapsody
- เฮนรี แจ็คแมน ดูแลเรื่องเพลงประกอบ เขาเคยมีผลงานให้ภาพยนตร์ดังอย่าง Kingsman, Jumanji และ Captain America มาแล้ว
- ตอนแรกภาพยนตร์เรื่องนี้แพลนจะถ่ายที่เมืองโกลกาตา ในประเทศอินเดียด้วย แต่ติดปัญหาเรื่องการที่คนจะมามุงดู เรื่องสภาพจราจร และกฎหมายการห้ามใช้ปืนในกองถ่าย
- สะพานที่ใช้ถ่ายฉากไคลแมกซ์ตอนท้ายเรื่องถ่ายทำที่ราชบุรี ซึ่งทีมงานต้องปิดสะพาน 4 สัปดาห์ โดย Mary Barltrop ที่รับหน้าที่ Supervising Location Manager พร้อมทีมงานของเธอ ต้องทำการรีเสิร์ชสะพานกว่า 72 แห่งทั่วประเทศ กว่าจะเจอสะพานที่ใช่สำหรับหนัง
- ตอนแรกหนังเรื่องนี้จะใช้ประเทศในทวีปอเมริกาใต้เป็นโลเคชัน แต่ทางทีมงานรู้สึกว่าเคยเห็นมาบ่อยแล้วในหนังแอ็กชัน