หากเอ่ยถึงนักฟุตบอลเจ้าของสมญา ‘Hot Shot’ หากเป็นแฟนฟุตบอลรุ่นเก่าหน่อยคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อลัน เชียเรอร์ ตำนานศูนย์หน้าตลอดกาลของนิวคาสเซิลและชาวจอร์ดี ผู้ที่ยังคงเป็นเจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกที่ 267 ประตู
แต่หากเป็นแฟนรุ่นเก่าไปกว่านั้นอีกก็ต้องเป็น ‘ฮามิชตีนระเบิด’ ตัวละครเอกในคอมิกเรื่องดังอย่าง ‘Hot Shot Hamish and Mighty Mouse’ ของชาวอังกฤษ ที่สร้างความสนุกสนานและเสริมสร้างจินตนาการให้แก่เด็กๆ ด้วย
สมญานี้จึงถือเป็นของสงวนแบบอ้อมๆ สำหรับผู้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าที่มีความมหาประลัยอยู่ในตัว เก่งกาจนักในเรื่องของการส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้ทุกรูปแบบและทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการยิงด้วยเท้าซ้าย เท้าขวา ลูกโหม่ง ยิงใกล้หรือยิงไกลก็ตาม
ที่สำคัญคือลูกยิงต้องมีความหนักหน่วงหรือคมกริบเหมือนใบมีดที่ผ่านการลับมาอย่างดี
ศูนย์หน้าแบบนี้หายไปจากวงการฟุตบอลอังกฤษมาพักใหญ่ เพียงแต่ตอนนี้ดูเหมือนเราจะค้นพบนักเตะที่คู่ควรกับสมญา Hot Shot แล้ว
อีแวน เฟอร์กูสัน ไอ้หนูปรมาณูศูนย์หน้าความหวังใหม่ของไบรท์ตันแอนด์โฮฟอัลเบียน!
ในเกมพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คู่บิ๊กแมตช์อาจอยู่ที่เอมิเรตส์สเตเดียม ในการพบกันระหว่างอาร์เซนอลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สองทีมคู่ปรับในช่วง 20 ปีที่แล้ว แต่ยังมีอีกคู่ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันคือเกมที่เอเม็กซ์สเตเดียม ระหว่างไบรท์ตันแอนด์โฮฟอัลเบียน กับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
ความน่าสนใจนั้นอยู่ที่ทั้งสองทีมจัดเป็นทีมฟุตบอลที่ถูกสร้างขึ้นมาในระบบการเล่นสมัยใหม่ ภายใต้การนำของสองยอดผู้จัดการทีมฝีมือดีอย่าง โรแบร์โต เด แซร์บี และ เอ็ดดี ฮาว ซึ่งทำให้เราคาดหวังได้ถึงการต่อสู้กันทางแท็กติกการเล่นอย่างหนักหน่วงจากทั้งสองทีม
และนั่นก็เป็นสิ่งที่เราได้เห็นจริงๆ ทั้งสองทีมถือว่าประลองกันได้อย่างสนุกทีเดียว เพียงแต่คนที่สร้างความแตกต่างให้กับเกมนี้กลับเป็นศูนย์หน้าวัยเพียง 18 ปีอย่าง อีแวน เฟอร์กูสัน ที่ซัดแฮตทริกได้สำเร็จ และเป็นการทำแฮตทริกครั้งแรกในชีวิตการเล่นของเขาด้วย
เฟอร์กูสันยังติดทำเนียบของนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ทำแฮตทริกในพรีเมียร์ลีกได้ ต่อจาก ไมเคิล โอเวน, ร็อบบี ฟาวเลอร์, คริส บาร์ต วิลเลียมส์ โดยแฮตทริกของเขาเกิดขึ้นในวัย 18 ปี กับอีก 318 วันเท่านั้น
ขณะที่ผลงานรวมนับจากฤดูกาลที่แล้วจนถึงตอนนี้ เฟอร์กูสันทำไปแล้ว 13 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทั้งหมด 33 นัดให้กับไบรท์ตัน ซึ่งถือเป็นผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมอย่างมากสำหรับกองหน้าเด็กหนุ่มที่มาแบบไม่มีใครรู้จักมาก่อนหน้านี้
นั่นสิ แล้วเด็กคนนี้คือใครกันนะ?
อีแวน โจ เฟอร์กูสัน เกิดที่เมืองเบ็ตตีส์ทาวน์ในประเทศไอร์แลนด์ เป็นลูกชายของ แบร์รี เฟอร์กูสัน อดีตนักฟุตบอลอาชีพ (แต่ไม่ใช่คนเดียวกับอดีตสตาร์ดังพรีเมียร์ลีกคนนั้นนะ!) ที่เคยผ่านการค้าแข้งให้กับหลายสโมสร เช่น โคเวนทรี ซิตี้, โคลเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ฮาร์เทิลพูล ยูไนเต็ด, โบฮีเมียนส์ และ แชมร็อค โรเวอร์ส
ส่วนคุณปู่ของเขา ดาเมียน เฟอร์กูสัน ก็เป็นนักฟุตบอลเก่าเหมือนกัน และเคยเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วย! ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเชียร์ทีมไหน
สายเลือดนักบอลและความรักในเกมลูกหนังได้ถูกส่งต่อมาถึงเขาด้วย ซึ่งเขาเริ่มต้นจากการเล่นให้ทีมโรงเรียนอย่างเซนต์ เควิน บอยส์ ก่อนจะได้เข้าอะคาเดมีของสโมสรโบฮีเมียนส์ ซึ่งเป็นทีมเก่าของพ่อและได้ลงเล่นในลีกระดับเยาวชนด้วย
เฟอร์กูสันมีตำนานเล็กๆ ของตัวเองกับโบฮีเมียนส์ เมื่อทำประตูปิดท้ายให้ทีมเอาชนะแชมร็อค โรเวอร์ส (อีกทีมเก่าของพ่อเหมือนกัน) คว้าแชมป์ลีกรุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปีของไอร์แลนด์ได้ในเกมรอบชิงชนะเลิศ 2-0
ผลงานดังกล่าวดีพอที่จะทำให้โบฮีเมียนส์รีบดันเขาขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ และได้โอกาสในการลงสนามในระดับอาชีพตั้งแต่อายุแค่ 14 ปี ในเกมอุ่นเครื่องนัดที่พบกับเชลซีในเดือนกรกฎาคม 2019 ก่อนจะได้โอกาสลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการในอีก 2 เดือนถัดมาด้วยวัยเพียง 15 ปีเท่านั้น
ระหว่างนั้นเขามีโอกาสไปทดสอบฝีเท้ากับหลายสโมสรดัง ซึ่งรวมถึงลิเวอร์พูลด้วยที่เสนอโอกาสให้เข้ามาอะคาเดมี แต่สุดท้ายเฟอร์กูสันตัดสินใจที่จะเลือกมาอยู่กับอะคาเดมีของไบรท์ตันแทน เพราะเชื่อว่าจะมีโอกาสแจ้งเกิดได้มากกว่า ก่อนจะมีการเซ็นสัญญาย้ายมาอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2021
ดูเหมือนการตัดสินใจจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ภายใต้แนวทางของไบรท์ตัน นักฟุตบอลดาวรุ่งที่มีแววดีทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม รวมถึงสิ่งสำคัญคือการให้โอกาสในการเติบโต
ที่สโมสรใหญ่ กระถางดอกไม้อาจจะมีไม่พอสำหรับทุกคน แต่ที่ไบรท์ตันมีกระถางมากมายที่พร้อมให้ดอกไม้ทุกต้นได้เติบโต
เฟอร์กูสันฟูมฟักในแดนใต้ของอังกฤษอยู่หลายเดือนก่อนจะได้โอกาสลงเล่นครั้งแรกในเกมลีกคัพรอบสอง นัดที่ไบรท์ตันพบกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในเดือนสิงหาคม 2021
แต่กว่าที่ประตูแรกของเขาจะมาถึงต้องรออีก 1 ปีด้วยกัน ในเกมลีกคัพเหมือนเดิม นัดที่พบกับฟอเรสต์ กรีน โรเวอร์ส สโมสรฟุตบอลในระดับลีกทู ที่มีชื่อเสียงจากการเป็นสโมสรที่สนับสนุนความยั่งยืน
ในเกมที่สนามลอว์นสเตเดียม วันนั้น เกรแฮม พอตเตอร์ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ส่ง ลีวาย โคลวิลล์, คาโอรุ มิโตมะ และ ฮูลิโอ เอนซิโซ ลงสนามด้วย ซึ่งต่อมาทั้งหมดแจ้งเกิดได้อย่างสวยงามในยุคของผู้จัดการทีมคนปัจจุบันอย่างเด แซร์บี
แต่คนที่ถูกจับตามากที่สุดในวันนั้นคือเฟอร์กูสัน กองหน้าดาวรุ่งร่างใหญ่วัย 17 ปี ที่ทำประตูปิดท้ายในนาทีที่ 94 ด้วยการตอกส้นเข้าไปอย่างเหนือชั้น ทำเอาผู้ชมกว่า 3,812 คนที่อยู่ในสนามวันนั้นต้องทึ่ง
พอตเตอร์กล่าวในวันนั้นว่า “เวลาที่เห็นเขาเล่นเราต้องนึกให้ออกเสมอว่าเขาเพิ่งอายุ 17 ปี” ก่อนจะบอกว่า “เขาเป็นนักเตะที่ฉลาดมากๆ สำหรับคนที่เด็กขนาดนี้ เขามีอนาคตที่ยิ่งใหญ่รออยู่แน่นอน”
หนึ่งปีผ่านมา พอตเตอร์อาจจะไม่ได้อยู่กับไบรท์ตันแล้ว แต่คำทำนายของเขาไม่ได้ผิดไปจากนั้น เมื่อเฟอร์กูสันค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากการเป็นกำลังเสริมในแนวรุกที่ยอดเยี่ยมของทีม โดยทำไป 10 ประตูจากการลงสนาม 25 นัดในฤดูกาลที่แล้ว
ตอนนี้เด แซร์บี เริ่มมั่นใจที่จะใช้งานเขาในฐานะกองหน้าตัวเป้าของทีม โดยปรับบทให้ แดนนี เวลเบ็ค รุ่นพี่ถอยลงมาประคับประคองแทน
สิ่งที่เด็กคนนี้มีคือความสามารถแบบธรรมดาๆ แต่ที่ไม่ธรรมดาคือเขามีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกองหน้าตัวเป้า ความเร็วที่พร้อมจะฉีกหนีกองหลัง การเคลื่อนที่ ความสามารถในการเล่นสอดประสานกับเพื่อน
และสิ่งสำคัญที่สุดคือสัญชาตญาณในการล่าประตูที่พิเศษที่สุด
ประตูแรกที่ทำได้ในเกมกับนิวคาสเซิลมาจากการอยู่ถูกที่ถูกเวลา เมื่อ นิค โป๊ป รับบอลไม่อยู่ เฟอร์กูสันก็ลงดาบซ้ำปลิดชีพทันที ขณะที่ประตูที่สองพิเศษอย่างมาก ทั้งการขยับลงมารับบอลจาก บิลลี กิลมัวร์ ก่อนจะลากบอลจี้แนวรับ ซึ่งเมื่อ แดน เบิร์น ไม่เข้ามาปิด เขาก็มั่นใจพอที่จะลองปั่นโค้งจากระยะ 25 หลาเสียบมุมเข้าไปอย่างสุดสวย
ส่วนประตูแฮตทริกนั้นแม้จะมีดวงช่วยเยอะ เพราะเป็นการยิงแฉลบขาของ ฟาเบียง แชร์ แต่การแต่งบอลจนถึงการตัดสินใจตวัดยิงเร็วก่อนได้อย่างหนักหน่วงก็เป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยม
แกรี ลินิเกอร์ ตำนานศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษถึงกับเปรียบเทียบเขากับ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ในรายการ Match of The Day เลยทีเดียว
เพียงแต่สิ่งสำคัญสำหรับนักเตะที่แจ้งเกิดเร็วแบบนี้คือการที่จะต้องไม่หลงใหลไปกับคำเยินยอ ซึ่งอาจเป็นเรื่องโชคดีของเฟอร์กูสันที่เขามีผู้จัดการทีมที่เฮี้ยบแต่เข้าใจอย่างเด แซร์บี รวมถึงมีต้นแบบนักเตะที่ดีอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ และ อดัม ลัลลานา ที่พร้อมเป็นลมใต้ปีกให้กับเด็กมหัศจรรย์คนนี้
เด แซร์บี กล่าวถึงเฟอร์กูสันว่า “เขาสามารถเป็นนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ และสามารถเป็นหนึ่งในกองหน้าที่เก่งที่สุดในยุโรปได้”
ส่วน อีแวน เฟอร์กูสัน จะไปได้ไกลถึงไหนกัน เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ลูกหนังที่น่าลุ้นและน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งจริงๆ
อ้างอิง: