สหภาพยุโรป (EU) นำเสนอแผน ‘REPowerEU’ มูลค่า 2.1 แสนล้านยูโร (ราว 2.21 แสนล้านดอลลาร์) ต่อทางคณะกรรมาธิการยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้ก๊าซรัสเซียทั่วทั้ง EU ลง 66% ภายในสิ้นปีนี้ และเลิกพึ่งพาอาศัยกันโดยสิ้นเชิงก่อนปี 2027 โดยการประหยัดพลังงาน หาแหล่งอื่น และเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน
เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กล่าวว่า คณะกรรมการอยู่ระหว่างการหารือเกี่ยวกับมาตรการใหม่ๆ ที่จะออกมาเพื่อลดการพึ่งพารัสเซีย เช่น เพิ่มปริมาณนำเข้าจากฝั่งสหรัฐฯ และแคนาดา เพิ่มการไหลของท่อส่งก๊าซจากนอร์เวย์
นอกจากนี้ ทางคณะกรรมาธิการยุโรปยังได้จัดตั้งแพลตฟอร์มเพื่อให้ชาติสมาชิกสามารถร่วมกันหุ้นซื้อพลังงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดราคาที่พุ่งสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน แผนดังกล่าวยังเน้นย้ำถึงกลยุทธ์การประหยัดพลังงานว่าเป็น ‘วิธีที่เร็วและถูกที่สุด’ ในการแก้ไขปัญหาวิกฤติ โดยรัฐบาลยุโรปจะส่งเสริมให้ประชาชนและภาคธุรกิจลดการใช้พลังงาน เช่น การปิดไฟและการใช้เครื่องปรับอากาศให้น้อยลง และเชื่อว่าขั้นตอนเหล่านี้สามารถลดความต้องการใช้น้ำมันและก๊าซได้ 5% ในระยะสั้น
ส่วนในระยะยาว สหภาพยุโรปจะยกเลิกเป้าหมายที่จะมีพลังงานอย่างน้อย 40% ที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนและปรับขึ้นเป็น 45% รวมถึงวางแผนที่จะลดระยะเวลาที่ใช้ในการขอใบอนุญาตสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่ลงอย่างมาก
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่หลายประเทศกำลังเผชิญปัญหาเงินเฟ้ออย่างหนักหน่วง โดยล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร (ONS) พบว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษ พุ่งแตะระดับ 9% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานเพิ่มสูงขึ้น ทำให้วิกฤตค่าครองชีพของอังกฤษทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ทางธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 4 ครั้งติดกัน จากระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ในยุคโควิดที่ 0.1% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 13 ปีที่ 1% โดยหวังว่าจะควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นได้โดยไม่ส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1982 ก็กดดันให้ Rishi Sunak รัฐมนตรีคลังอังกฤษ เพิ่มความช่วยเหลือสำหรับครัวเรือนที่เผชิญกับวิกฤตค่าครองชีพที่เลวร้ายลงครั้งนี้ ซึ่งทางรัฐมนตรีคลังอังกฤษยอมรับว่าไม่สามารถปกป้องประชาชนไม่ให้ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อในครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่รัฐบาลอังกฤษก็ให้คำมั่นที่จะดำเนินนโยบายออกมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสมกับสถานการณ์เงินเฟ้ออย่างแน่อน
วันเดียวกันมีรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อของแคนาดาปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้นจนทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 30 ปี
ปัจจุบัน เงินเฟ้อของแคนาดาปรับเพิ่มขึ้น แตะ 6.8% สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 1991 และมากกว่าการคาดการณ์ที่นักวิเคราะห์มองไว้ก่อนหน้านี้ที่ 6.7% โดยสำนักงานสถิติของแคนาดาพบว่า อัตราเงินเฟ้อประจำปีเพิ่มขึ้นเป็น 6.8% จาก 6.7% ในเดือนกุมภาพันธ์
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีมาตรการใดๆ จากธนาคารกลางแคนาดา ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน รวมถึงนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งที่มองว่าแคนาดาตอบสนองต่อตลาดช้าเกินไป
อ้างอิง:
