EURO 2020: ทำไมการเรียกตัว คาริม เบนเซมา คืนทีมชาติ จึงเป็น ‘วาระระดับชาติ’ ของชาวฝรั่งเศส?

เมื่อฟุตบอลลีกยุโรปกำลังจะผ่านพ้นไป นั่นหมายถึงเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ‘ยูโร 2020’ จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว จึงไม่แปลกที่เราจะได้เห็นข่าวการประกาศรายชื่อผู้เล่นของชาติที่เข้าร่วมแข่งขันออกมาเรื่อยๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

หนึ่งในชาติที่ประกาศรายชื่อและสร้างความฮือฮาที่สุดคือทีมชาติฝรั่งเศส เจ้าของแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 เนื่องจาก 1 ใน 26 ขุนพลที่ ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ นายใหญ่ หรือ ‘เลอ เซเล็กซิยอนเนอร์’ เลือกนั้นมีชื่อของ คาริม เบนเซมา กองหน้าจอมเก๋าวัย 33 ปี รวมอยู่ด้วย

ประเด็นปัญหานั้นไม่ได้อยู่ที่เรื่องของฝีเท้าหรือผลงาน เพราะในช่วง 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา เบนเซมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาคือหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของโลกผ่านผลงานในทีม ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด ที่ก้าวขึ้นมาเป็นคีย์แมนของทีมแทนที่ของ คริสเตียโน โรนัลโด ได้อย่างยอดเยี่ยม

ปัญหานั้นอยู่ที่เรื่องของ ‘คดีอื้อฉาว’ ที่เบนเซมาพัวพัน จนทำให้เขาถูกตัดชื่อออกจากสารบบทีมชาติฝรั่งเศสมาเป็นระยะเวลาถึง 6 ปี

สำหรับเรื่องราวอื้อฉาวนั้นเป็นกรณีที่มีผู้ร้ายได้พยายามข่มขู่ มาติเยอ วัลบูเอนา อดีตกองกลางตัวทำเกมทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมของเบนเซมาในทีม Les Bleus เกี่ยวกับ ‘เซ็กซ์เทป’

ผู้ร้ายคนดังกล่าวนั้นเชื่อว่าเป็น ‘เพื่อนในวัยเด็ก’ ของเบนเซมา ซึ่งได้ติดต่อผ่านสตาร์ทีมเรอัล มาดริด ให้วัลบูเอนายอมจ่ายเงินค่าแบล็กเมล โดยที่กองหน้าจอมศิลปินได้พูดคุยกับดาวเตะผู้เคราะห์ร้ายตามที่ได้รับการร้องขอให้ ‘จ่ายๆ ไปเถอะ’

แต่วัลบูเอนาปฏิเสธที่จะทำตามและได้แจ้งตำรวจ ซึ่งสุดท้ายนำไปสู่การดำเนินคดีทั้งหมด 4 คน โดยเบนเซมาเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

เรื่องนี้ทำให้เบนเซมาถูกอัปเปหิพ้นจากทีมชาติฝรั่งเศสมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2015 เพราะถือเป็นคดีที่มีความร้ายแรง และสำหรับโค้ชอย่าง ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ สิ่งสำคัญที่สุดในการคุมทีมชาติฝรั่งเศสคือเรื่องของความกลมเกลียวภายในทีม หากเรียกตัวกองหน้าเจ้าของสถิติ 27 ประตู จากการเล่น 81 นัด ติดทีมชาติจริง ก็อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศภายในทีมได้

การตัดสินใจดังกล่าวของเดส์ช็องส์ถือว่าประสบความสำเร็จ ฝรั่งเศสอาจจะไม่ได้แชมป์ยูโรบนแผ่นดินเกิดเมื่อปี 2016 แต่ในฟุตบอลโลกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว พวกเขาพิชิตแชมป์โลกได้สำเร็จ โดยแนวรุกของทีมชุดนั้นคือ คีเลียน เอ็มบัปเป้, อองตวน กรีซมันน์ และคนที่ปิดทองหลังพระอย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นตัวหลักของทีมมาโดยตลอด

จนกระทั่งเดส์ช็องส์ได้เรียกตัวเบนเซมากลับมาติดทีมชาติอีกครั้งในศึกฟุตบอลยูโรครั้งนี้ และทำให้คนทั้งประเทศฝรั่งเศสถึงกับอึ้งกันหมด

โค้ชทีมตราไก่อธิบายในเรื่องนี้ว่า “เราได้พบกันและพูดคุยกันยืดยาว จากนั้นผมได้คิดไตร่ตรองอย่างหนักก่อนจะตัดสินใจ ผมเองก็อยากคุยกับเขา เขาเองก็อยากคุยกับผม ผมไม่อยากที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่น ในฐานะโค้ชทีมชาติ ผมต้องก้าวข้ามเรื่องส่วนตัวไป ความรับผิดชอบของผมก็สำคัญ แต่เรื่องนี้มันสำคัญกับตัวผมมากกว่า”

คำอธิบายของอดีตกัปตันทีมชาติฝรั่งเศส ผู้ที่ได้ชูถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นคนแรกเมื่อปี 1998 นั้นมีการขยายความต่อว่า คำพูดของเบนเซมาที่เคยแสดงความผิดหวังต่อการตัดสินใจของเดส์ช็องส์ที่ตัดชื่อเขาออกจากทีมนั้นเป็นคำพูดที่ติดในใจมาโดยตลอด

โดยที่เดส์ช็องส์ก็ไม่เคยกล้าที่จะเรียกตัวกลับมาอีกเลย แม้ว่าทางด้านสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส (FFF) ได้ยกเลิกโทษแบนของเบนเซมา ซึ่งยังคงอยู่ในระหว่างการต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง

การตัดสินใจเรียกตัวดาวยิงที่ทำไป 29 ประตูในฤดูกาลนี้ (รวมกันทุกรายการ) จึงเป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวและถูกจับตามองอย่างมากจากคนทั้งประเทศฝรั่งเศส

เพราะมันสัมพันธ์กับเรื่องของศีลธรรม และยังขัดต่อหลักการของเดส์ช็องส์ที่ถือปฏิบัติตลอดมาด้วย เรียกได้ว่าเป็นการเดิมพันที่ต้องจ่ายในราคาค่อนข้างสูง

หากไม่ประสบความสำเร็จไปเลย ก็อาจจะพังไปเลย

อย่างไรก็ดี กระแสตอบรับจากการเรียกตัวเบนเซมาคืนทีมชาติอีกครั้งไม่ได้มีการต่อต้านมากมายแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวลาผ่านมานานแล้วนับตั้งแต่เกิดเรื่อง และเบนเซมาเองก็ทำผลงานได้อย่างร้อนแรงตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

มีรายงานว่าในแคมป์ทีมชาติฝรั่งเศสเองค่อนข้าง ‘ตื่นเต้น’ ในการกลับมาครั้งนี้ของเขา

อีกหนึ่งคนที่เป็น ‘ตราประทับ’ ให้กับการตัดสินใจครั้งนี้คือประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ที่ชมเชยเดส์ช็องส์ว่า “ตัดสินใจได้ถูกต้อง”

ความจริงหากไม่ติดโทษแบน เขาจะเป็นคีย์แมนในแนวรุกของทีมที่ประคองรุ่นน้องอย่างเอ็มบัปเป้อย่างแน่นอนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และถึงจะหายไปหลายปี แต่เมื่อคิดถึงฝีเท้าและประสบการณ์แล้ว เบนเซมาจะเป็นคนสำคัญในแนวรุกของทีมได้อย่างแน่นอน

แม้ว่าจะต้องช่วงชิงตำแหน่ง ‘ตัวเป้า’ กับชิรูด์ กองหน้าที่ดูจะไม่ถูกกัน เพราะไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เบนเซมาเคยวิจารณ์เชิงเปรียบเทียบกองหน้าเชลซีกับตัวเองว่า “เหมือนรถฟอร์มูลาวันกับรถโกคาร์ต” แต่เชื่อว่าชิรูด์เองก็ไม่ได้ขัดข้องใจที่เบนเซมาจะกลับมาแต่อย่างใด

ดังนั้นจึงอยู่ที่เบนเซมาแล้วว่าจะกลับมาอย่างไร จะหาทาง ‘ชนะใจ’ ทุกคนได้หรือไม่