ค่ำคืนที่ผ่านมามีชาติที่เข้ารอบน็อกเอาต์เพิ่มขึ้นอีก 2 ทีม นั่นคือ เบลเยียม กับ เนเธอร์แลนด์ อดีตเจ้าภาพร่วมฟุตบอลยูโร ปี 2000 ทำให้มีทีมเข้ารอบไปแล้ว 3 ทีมและในค่ำคืนนี้มีอีก 3 ชาติที่มีโอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ ถ้าหากพวกเขาเก็บชัยชนะได้ ทีมแรกคือสโลวะเกียที่จะพบกับสวีเดน ในเวลา 20.00 น. ทีมที่ 2 คือสาธารณรัฐเช็กที่จะพบกับโครเอเชีย ในเวลา 23.00 น. และชาติสุดท้ายคืออังกฤษที่มีคิวพบกับสกอตแลนด์ ในเวลา 02.00 น.
Our final session before Scotland! 💪 pic.twitter.com/mJiypD61M8
— England (@England) June 17, 2021
https://twitter.com/England/status/1405501227467612167/photo/4
แฮร์รี แม็กไกวร์ (คนขวา) กลับมาซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมได้อีกคร้ง
อังกฤษ vs. สกอตแลนด์ – ศึกแห่งศักดิ์ศรีของสหราชอาณาจักร
อังกฤษมีโอกาสการันตีการเข้ารอบตั้งแต่คืนนี้ หากพวกเขาสามารถเอาชนะทีมเพื่อนบ้านทางตอนเหนืออย่างสกอตแลนด์ได้ในการเจอกันในกลุ่ม D อย่างไรก็ตาม เกมนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่จะทำแบบนั้นแน่นอนแม้จะได้เล่นในเวมบลีย์ก็ตาม เนื่องจากทางฝั่งสกอตแลนด์เองก็อยู่ในเงื่อนไขที่ไม่สามารถแพ้ได้เช่นกัน เพราะความพ่ายแพ้นั้นอาจจะหมายถึงการไม่ได้ไปต่อในยูโรครั้งนี้ก็เป็นได้
อังกฤษมีฟอร์มที่ดีมาตลอดในระยะหลัง พวกเขาเก็บคลีนชีตมาได้ 4 นัดติดต่อกันไปแล้ว และการเจอกับสกอตแลนด์ก็ดูเหมือนจะเป็นของชอบ เพราะใน 6 เกมหลังพวกเขาเอาชนะเพื่อนบ้านรายนี้ได้ถึง 4 นัด ส่วนอีก 2 นัดออกผลเสมอ โดยไม่มีผลแพ้เลย และใน 4 นัดล่าสุดพวกเขายิงเฉลี่ยใส่สกอตแลนด์ถึง 2.5 ประตูต่อเกม โดยเกมล่าสุดที่ทั้งสองทีมเจอกันเมื่อต้นปีที่ผ่านมาที่สนามเวมบลีย์ อังกฤษก็อัดยับไปถึง 3-0
หลังจากผู้รักษาประตู ดีน เฮนเดอร์สัน ถอนตัวไปจากอาการบาดเจ็บสะโพก แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็ได้ตัวของ อารอน แรมส์เดล มาทดแทน และนั่นทำให้สถานะมือ 1 ของ จอร์แดน พิกฟอร์ด แข็งแรงอย่างมาก ปัญหาเดียวที่พวกเขาต้องกังวลคือ แฮร์รี แม็กไกวร์ ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ และน่าจะลงเล่นในนัดนี้ จะทำผลงานได้ดีแค่ไหนหลังจากร้างสนามไปนาน และต้องระวังอย่างให้เขาเจ็บซ้ำด้วย
ขณะที่ฝั่งสกอตแลนด์ ต่อให้รู้ว่าเป็นรองแค่ไหน พวกเขาก็ต้องมีแต้มเป็นอย่างน้อย หากจะรักษาโอกาสในการไปเล่นในรอบน็อกเอาต์ไว้ต่อไป เพราะหากได้เพียง 3 คะแนนในอันดับที่ 3 จะต้องไปลุ้นหนักกับทีมที่ 3 จากกลุ่มอื่น การได้ 4 แต้มจึงน่าจะการันตีการผ่านเข้ารอบได้มากกว่า ดังนั้นจากการที่พวกเขายังไม่มีคะแนน ดังนั้น การได้ 1 หรือ 3 คะแนนจากอังกฤษ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำให้ได้เพื่อที่จะสร้างประวัติศาสตร์ในการเข้ารอบน็อกเอาต์ให้ได้เป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม สกอตแลนด์ยังต้องลุ้นหนักเรื่องปัญหาความฟิตของ บิลลี กิลมอร์ ที่ในนัดก่อนกับสาธารณรัฐเช็ก เขาไม่ได้ลงสนามแม้แต่ในฐานะตัวสำรอง เนื่องจากความฟิตยังไม่พอ แต่ข่าวดีคือการที่จะได้ คีแรน เทียร์นีย์ มาลงสนามในนัดนี้ที่ต้องทำคะแนนแรกให้ได้
https://twitter.com/HNS_CFF/status/1405615545878290439/photo/2
โครเอเชียไม่แพ้ต่อสาธารณรัฐเช็กในการพบกัน 2 นัดหลัง
โครเอเชีย vs. สาธารณรัฐเช็ก – หนึ่งเพื่ออยู่รอด หนึ่งเพื่อไปต่อ
โครเอเชียพลาดท่าพ่ายต่ออังกฤษมาในนัดแรก ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาไม่ต่างจากสกอตแลนด์สักเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นในเกมนี้ ภาษีของพวกเขาก็ดูดีกว่าสาธารณรัฐเช็กที่เอาชนะมาได้ในเกมแรก เนื่องจากจะอย่างไรทีม ‘โครแอต’ ก็มีดีกรีเป็นถึงทีมรองแชมป์โลก และชื่อชั้นตัวผู้เล่นในทีมก็ยังดูดีกว่า ที่สำคัญสถานะของทีมก็อยู่ในขั้นที่แพ้ไม่ได้ด้วย ทำให้พวกเขาน่าจะต้องสู้อย่างเต็มที่
โครเอเชียมีปัญหาในแนวรุกมาตลอดตั้งแต่ที่ มาริโอ มานด์ซูคิซ ตัดสินใจอำลาทีมชาติ ซึ่งนั่นเป็นโจทย์ใหญ่ที่ ซลัตโก ดาลิช ต้องแก้ให้ได้ในเกมนี้ โดยเขาน่าจะเลือกให้ บรูโน เพ็ตโควิช ลงทำหน้าที่ในแดนหน้า นอกจากนี้ บอร์นา บาริซิค แนวรับจากกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ที่ไม่ฟิตพอจะช่วยทีมในเกมพบกับอังกฤษ ก็จะลงสนามไม่ได้เป็นนัดที่ 2 ติดต่อกัน นักเตะคนอื่นๆ ไม่มีใครมีปัญหาอาการบาดเจ็บ ดาลิชน่าจะจัดทีมไม่ต่างจากเกมพบกับอังกฤษในนัดที่แล้ว
ด้านสาธารณรัฐเช็กที่ได้ พาทริก ชิก ทำ 2 ประตูในเกมพบกับสกอตแลนด์ ทำให้มี 3 คะแนนอยู่ในกระเป๋า ในเกมนี้ขอเพียงแค่ชนะก็จะการันตีการเข้ารอบทันที แต่ถ้าเสมอโอกาสเข้ารอบก็ยังสดใส แต่ที่กวนใจแฟนๆ เช็ก คือสถิติการเจอกัน 2 นัดที่ผ่านมา พวกเขายังไม่สามารถเอาชนะโครเอเชียได้เลย โดยแพ้ 1 นัด เสมอ 1 นัด ซึ่งพวกเขาก็หวังว่าเกมนี้จะเป็นเกมแรกที่ทำได้ เพื่อจะได้ตีตั๋วสู่รอบน็อกเอาต์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2012
สาธารณรัฐเช็กไม่มีใครที่ได้รับบาดเจ็บมาในเกมเอาชนะสกอตแลนด์ นั่นหมายความว่าสภาพทีมของพวกเขาสมบูรณ์ 100% โดยเฉพาะคู่เซ็นเตอร์อย่าง โทมัส คาลาส และ ออนเดรจ์ เซลุสต์กา ที่ฟิตทันลงสนามในเกมที่แล้วแบบหวุดหวิด เกมนี้ก็น่าจะสมบูรณ์ขึ้น โดยความหวังของทีมยังคงต้องฝากไว้กับ พาทริก ซิก ซึ่งมีโอกาสที่จะแซงนำเป็นดาวซัลโวแต่เพียงผู้เดียวหากทำประตูได้ในเกมนี้
สโลวะเกียพลิกล็อกเอาชนะโปแลนด์มาได้ในเกมก่อน
สวีเดน vs. สโลวะเกีย – เกมนอกสายตาที่น่าสนใจ
ระยะหลังมักมีคนบ่นว่าอยากดูฟุตบอลยูโร แต่ดูคู่ดึกไม่ไหวเพราะต้องไปทำงานในวันรุ่งขึ้น ขณะที่เกมคู่หัวค่ำในเวลา 20.00 น. ก็มักจะไม่ค่อยน่าสนใจ ในเกมนี้ความรู้สึกแรกที่เห็นโปรแกรมของใครหลายๆ คนก็น่าจะรู้สึกแบบนั้น แต่อันที่จริงแล้วเกมในกลุ่ม E ระหว่างสวีเดนกับสโลวะเกียซ่อนความน่าสนใจเอาไว้ไม่น้อยเลย
สวีเดนเป็นทีมที่ได้เล่นในศึกยูโรมาอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นหน้าเป็นตาของชาติสแกนดิเนเวีย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นของพวกเขาคือการได้แค่ไปเข้าร่วมเป็นส่วนใหญ่ และไม่ค่อยผ่านรอบแบ่งกลุ่ม โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขาผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้คือในปี 2004 แต่กลับกันทางฝั่งสโลวะเกียเป็นชาติที่เพิ่งผ่านรอบคัดเลือกมาเล่นในรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งที่ 2 และในครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน พวกเขากลับผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้ไม่ยาก
สวีเดนที่ยันสเปน 0-0 ได้ในนัดก่อน เก็บคลีนชีตได้ถึง 5 จาก 7 นัดหลังสุด แต่พวกเขาก็มีปัญหาในแนวรุกเช่นกัน สาเหตุหลักคือการไม่มี เดยัน คูลูเซฟสกี มิดฟิลด์คนสำคัญจากยูเวนตุส ซึ่งติดโควิด-19 พร้อมกับ มาทิอัส สเวนเบิร์ก ก็น่าจะยังลงสนามในเกมนี้ไม่ได้ทั้งคู่ ดังนั้นเกมรุกก็คงต้องฝากความหวังไว้กับ มาร์คุส โรเซนเบิร์ก และ อเล็กซานเดอร์ อิซัค เหมือนเกมที่เจอกับสเปน
ส่วนสโลวะเกียที่สร้างเซอร์ไพรส์มาด้วยการล่มทีมที่เหนือกว่าอย่างโปแลนด์ ก็ก้าวขาเข้ารอบไปครึ่งแข้งแล้ว ถ้าพวกเขาเก็บ 3 คะแนนได้ในเกมนี้ จะการันตีการเข้ารอบน็อกเอาต์ทันที ดีไม่ดีอาจจะถึงขั้นได้แชมป์กลุ่ม และต่อให้แพ้พวกเขาก็ยังมีโอกาสลุ้นอันดับ 2 หรือ 3 อยู่ดี ด้วยการไปวัดกับสเปนในนัดสุดท้าย แต่ปัญหาของทีมคือการมีนักเตะติดโควิด-19 ในทีมอย่าง เดนิส วาวโร นอกจากทำให้เขาต้องถูกกักตัวแล้ว ความน่ากังวลอยู่ที่นักเตะในทีมที่ซ้อมร่วมกันจะมีใครติดเชื้อเพิ่มด้วยหรือไม่
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: