ฟุตบอลยูโร 2020 วนกลับมาสู่เกมนัดที่ 2 ของแต่ละทีมในค่ำคืนที่ผ่านมา หลังจากที่ได้เห็นฟอร์มทั้ง 24 ทีมครบไปแล้ว ซึ่งหลังจาก 3 เกมเมื่อคืนจบลง เราก็พอจะเห็นได้ในเกมนัดที่ 2 ว่าทีมใดเป็น ‘ของจริง’ หรือทีมไหน ‘ทองลอก’ และนี่คือแต่ละประเด็นจากแต่ละสนาม หลังจากผ่าน 90 นาที ในคืนที่ 6 ของศึกยูโร 2020
อิตาลี = เครื่องจักรเก็บชัยชนะ
คำพูดในบรรทัดบนมาจากปากของ ลีออน ออสมัน อดีตนักเตะเอฟเวอร์ตัน ที่ให้สัมภาษณ์หลังเกมของกลุ่ม A ที่อิตาลีไล่ถล่มสวิตเซอร์แลนด์ 3-0 ในกรุงโรม พร้อมเก็บ 6 คะแนนเต็ม จาก 2 เกม จบลง โดยอดีตมิดฟิลด์ทีมทอฟฟี่มองว่า อิตาลีเป็นทีมสุดแกร่งที่น่ากลัว แต่พวกเขายังไม่ได้รับบททดสอบจากบรรดาทีมใหญ่ๆ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นบทพิสูจน์ที่พวกเขาต้องเจอในรอบต่อไป หลังจากการันตีการเข้าสู่รอบน็อกเอาต์เป็นทีมแรกไปแล้ว
อิตาลีไม่ได้เพิ่งมาเล่นดีในฟุตบอลยูโรคราวนี้ โรแบร์โต มันชินี ค่อยๆ สร้างทีมชุดนี้มาตั้งแต่ปี 2018 หลังจากความล้มเหลวในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และทีมชุดนี้ก็เริ่มผลิดอกออกผลให้ใช้งานในอีก 1 ปีต่อมา ทันในช่วงการคัดเลือกฟุตบอลยูโร 2020 พอดี แม้จะชนะมาได้ทั้ง 10 นัด และเป็น 1 ใน 2 ทีมร่วมกับเบลเยียมที่สามารถเก็บ 30 คะแนนเต็มในรอบคัดเลือกมาได้ แต่ในวันนั้นอัซซูร์รียังไม่แข็งแกร่งเท่าตอนนี้
“ในการแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่มีทีมอย่างฝรั่งเศส โปรตุเกส และเบลเยียม หนึ่งในนั้นคือแชมป์โลก อีกหนึ่งคือแชมป์ยุโรป และอีกทีมคืออันดับ 1 ของโลก” มันโชกล่าว พร้อมกับบอกอีกว่า ทีมเหล่านี้คือทีมที่สร้างขึ้นมาหลายปีแล้ว และเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะอยู่ไกลกว่าเรา แต่ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ในวงการฟุตบอล คุณจะมองข้ามอะไรไปไม่ได้เลย
“ทุกนัดนั้นยาก คุณจะต้องออกไปที่สนามเพื่อลงแข่งขัน ผมโชคดีที่มีผู้เล่นคุณภาพ หลายคนชื่นชอบการลงไปแข่งขัน พวกเขาสนุกกับการออกไปที่สนามแข่ง และลงเสี่ยงที่จะคว้าชัยชนะ ผู้เล่นคือคนที่สมควรได้รับเครดิต ผมแค่พยายามอธิบายกระบวนการคิดออกมา และเส้นทางยังอยู่อีกไกล” มันชินีกล่าว
ปัจจุบันอิตาลีครอบครองสถิติอันน่าเหลือเชื่อ พวกเขาไม่แพ้ใครมาแล้ว 29 นัด แถม 10 นัดหลังสุด นอกจากจะไม่แพ้แล้ว พวกเขายังเสมอไม่เป็นด้วย สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นคือชัยชนะเท่านั้น โดยตลอด 10 นัดนี้ พวกเขายิงไป 31 ประตู และไม่เสียประตูเลยแม้แต่ลูกเดียว และถ้าสุดท้ายทีมชุดนี้สามารถผงาดขึ้นคว้าแชมป์ยูโร 2020 ได้สำเร็จ พวกเขาจะขึ้นไปทาบสถิติในการเป็นชาติที่ไม่แพ้ใครยาวนานที่สุด 35 นัด ซึ่งสเปนและบราซิลครอบครองอยู่ในตอนนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เครื่องหมายดอกจันตัวเล็กๆ ที่แฟนบอลอัซซูร์รีอาจจะต้องติดตามต่อหลังจากความชื่นมื่นในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมาคือ อาการบาดเจ็บของ จอร์โจ คิเอลลินี ปราการหลังกัปตันทีม ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกกลางครึ่งแรก ซึ่งถ้าทีมต้องเสียเขาไปในทัวร์นาเมนต์นี้ ก็อาจจะทำให้ทุกอย่างที่วางแผนเอาไว้ไม่ได้เป็นไปแบบที่มันควรจะเป็นก็ได้
2 แอสซิสต์ของ แกเร็ธ เบล กรุยทางเวลส์สู่รอบต่อไป
ชัยชนะเหนือตุรกี 2-0 ที่บากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ทำให้โอกาสเข้ารอบต่อไปของเวลส์สดใสทันที เพราะถ้าเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดอย่างการแพ้อิตาลีย่อยยับเกิน 3 ประตู ‘พร้อมกัน’ กับที่สวิตเซอร์แลนด์เอาชนะตุรกีได้อย่างขาดลอย จนทำให้มังกรแดงหล่นไปรั้งอันดับที่ 3 พร้อมกับผลต่างประตูติดลบ แต่การมี 4 คะแนน ก็จะยังคงเพียงพอที่จะได้เข้าไปเล่นในรอบน็อกเอาต์ด้วยฐานะอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 1 ใน 4 ทีมอยู่ดี
เหตุผลที่เวลส์จะสบายใจได้ในเรื่องนี้เพราะว่าสำหรับการเป็นที่ 3 ที่ดีที่สุด 4 ทีมแรกนั้น ค่าเฉลี่ยคะแนนจะอยู่ที่ราว 3.5 แต้ม โดยอ้างอิงจากสถิติในฟุตบอลยูโร 2016 ที่มีการให้เข้ารอบน็อกเอาต์ 16 ทีมเป็นครั้งแรก โดยมีทีมอันดับ 3 เพียง 2 ทีม คือ ไอร์แลนด์และสโลวะเกียเท่านั้นที่มี 4 แต้ม ขณะที่อีก 2 ทีม มีเพียง 3 คะแนนเท่านั้น ซึ่งถ้าหากไม่เกิดแจ็กพ็อตว่าที่ 3 ของทุกกลุ่ม หรือ 5 จาก 6 กลุ่ม มี 4 คะแนนแล้วล่ะก็ เวลส์ก็ไม่น่าจะตกรอบแรกไปได้
เหนือสิ่งอื่นใด ต้องยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้ แกเร็ธ เบล จากฟอร์มอันยอดเยี่ยมที่ช่วยให้ทีมเจาะเกมรับของสวิตเซอร์แลนด์ได้สำเร็จ เขาทำ 2 แอสซิสต์ในเกมนี้ และอันที่จริงควรจะมากกว่านั้นด้วย เพราะเกมนี้เขาจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมหลุดเดี่ยวไปดวลกับผู้รักษาประตูถึง 5 ครั้ง ซึ่งไม่มีใครสามารถสร้างโอกาสได้มากขนาดนี้มาก่อนในการแข่งขันฟุตบอลยูโรเพียงเกมเดียว นับตั้งแต่มีการเริ่มเก็บสถิติในปี 1980
ซึ่งหากปราศจากการจ่ายบอลของเขาในเกมนี้ คงไม่มีประตูแรกของ อารอน แรมซีย์ และยิ่งไม่มีประตูที่ 2 ที่เขาพาบอลดึงตัวประกอบไปหมดก่อนจ่ายให้ คอนเนอร์ โรเบิร์ตส์ ยิงโล่งๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเบลจะต้องพิสูจน์ผลงานของตัวเองและเวลส์ในเกมสุดท้ายกับทีมที่ถูกยกย่องให้เป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ ไปแล้ว อย่างอิตาลีในเกมสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่มวันอาทิตย์นี้ด้วย
กลุ่ม B กลุ่มนี้น่าสนุก!
ชัยชนะนัดแรกของรัสเซียในยูโร 2020 เหนือทีมบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างฟินแลนด์ด้วยสกอร์ 1-0 นอกจากจะเป็นการเก็บ 3 คะแนนแล้ว ยังเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในกลุ่มนี้ให้น่าสนใจอย่างมาก แม้ว่าเบลเยียมกับเนเธอร์แลนด์จะยังไม่ได้ลงสนามก็ตาม
ปัจจุบันเบลเยียม รัสเซีย และฟินแลนด์ มี 3 คะแนนเท่ากัน เพียงแต่เบลเยียมแข่งขันน้อยกว่า 1 นัด ซึ่งคิวเตะของพวกเขาจะอยู่ในค่ำคืนนี้ที่จะพบกับเดนมาร์ก ซึ่งไม่ว่าผลในเกมของเบลเยียมจะออกมาเป็นอย่างไร สถานการณ์ในนัดสุดท้ายก็ยากจะหลีกเลี่ยงดราม่าที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเราไปว่ากันทีละกรณี
ในกรณีที่เบลเยียมชนะเดนมาร์กในค่ำคืนนี้ นั่นหมายความว่าเบลเยียมจะการันตีการผ่านเข้ารอบทันที และทิ้งให้เดนมาร์กไม่มีแต้มต่อไป โดยในเกมสุดท้ายเบลเยียมจะพบกับฟินแลนด์ ส่วนทีมโคนมจะพบกับรัสเซีย โดยที่เดนมาร์กจำเป็นต้องชนะเพื่อรักษาโอกาสในการลุ้นเข้ารอบในฐานะที่ 3 ที่ดีที่สุด และต้องยิงรัสเซียให้เยอะที่สุด ซึ่งถ้าโชคเข้าข้างให้เบลเยียมชนะฟินแลนด์ด้วยสกอร์ท่วมท้น เดนมาร์กอาจจะจบได้ถึงที่ 2 ของกลุ่มเลยทีเดียว ขณะที่ฝั่งรัสเซียอาจจะต้องการเพียงแต้มเดียวเพื่อที่จะการันตีการเข้ารอบในเกมพบกับเดนมาร์ก ส่วนฟินแลนด์ก็ยังมีโอกาสเข้ารอบอยู่ และพวกเขาก็มีโอกาสจะเก็บแต้มจากเบลเยียมได้ถ้าคิดในกรณีที่ทีมปีศาจแดงแห่งยุโรปซึ่งเข้ารอบไปแล้ว เลือกจะพักตัวผู้เล่น
ในอีกกรณีที่เดนมาร์กเกิดพลิกล็อกชนะเบลเยียมในค่ำคืนนี้ ทุกทีมจะมี 3 คะแนนเท่ากัน และมีผลงานเหมือนจะเป็น ‘งูกินหาง’ ทำให้การจัดอันดับในกลุ่มนี้ต้องไปวัดกันในเกมสุดท้าย ซึ่งรับรองได้เลยว่าไม่มีใครยอมใคร ดังนั้นเราสามารถสรุปได้สั้นๆ ว่าชัยชนะของรัสเซียที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมาจะทำให้กลุ่ม B…เดือดมาก!
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/sport/football/57506516
- https://www.bbc.com/sport/football/51197561
- https://www.bbc.com/sport/football/51197547
- https://www.bbc.com/sport/football/57505779
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024460–finland-vs-russia/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024457–turkey-vs-wales/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024458–italy-vs-switzerland/