ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 หรือยูโร 2020 เพิ่งเดินทางมาถึงวันที่สามของการแข่งขัน เพราะหลังจากผ่านเรื่องราวใน 2 วันแรกมา ทำให้บางคนอาจจะรู้สึกว่า ยูโรในครั้งนี้แข่งขันมาผ่านมาเกือบสัปดาห์เข้าไปแล้ว และยังเหมือนเดิมกับวันที่สองคือจะมีการแข่งขันกัน 3 เกม ในสนาม 3 สนาม จาก 3 ประเทศ และนี่คือรายละเอียดที่น่าสนใจของเกมในวันที่สาม
Training hard in the sun 💪☀️🏴 pic.twitter.com/IhvAhcJd8r
— Harry Kane (@HKane) June 9, 2021
แฮร์รี เคน (คนกลาง) กองหน้าตัวความหวังของทีมชาติอังกฤษ
อังกฤษ vs. โครเอเชีย เกมล้างตาจากรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018
แผนการ ‘พาฟุตบอลกลับบ้าน’ เมื่อ 3 ปีก่อนในฟุตบอลโลก 2018 ต้องเป็นหมันลงจากการพ่ายในรอบรองชนะเลิศ ทำให้อังกฤษจบแค่เพียงอันดับ 4 และต้องรอการคว้าแชมป์เมเจอร์ระดับชาติที่ไม่ได้สัมผัสมามาตั้งแต่ปี 1966 ต่อไป โดยทีมที่ยัดเยียดความปราชัยให้กับพวกเขาก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นโครเอเชียที่จะต้องเจอกันในเกมแรกของฟุตบอลยูโร 2020 ครั้งนี้นี่เอง
เกมนี้ต่างออกไปจากเกมนั้น เพราะทัพสิงโตคำรามได้เล่นในสนามเวมบลีย์ สถานที่ซึ่งไร้เทียมทานเมื่อพวกเขาได้แข่งขันที่นี่ในรายการเมเจอร์ระดับชาติ (ฟุตบอลโลก 1966 และฟุตบอลยูโร 1996) เพราะตลอด 11 นัดที่พวกเขาได้เล่นในสนามแห่งนี้มีสถิติยอดเยี่ยมด้วยการชนะ 7 นัด เสมอ 4 นัด (ไม่รวมการดวลลูกที่จุดโทษ) อย่างไรก็ตาม สถิติที่หักล้างกันนั้นก็ยังพอมีอยู่ เพราะอังกฤษไม่เคยเอาชนะในเกมแรกของศึกยูโรที่พวกเขาลงสนามได้เลย ปัจจุบันมีสถิติ เสมอ 5 นัด และแพ้ 4 นัด
แม้ แฮร์รี แม็กไกวร์ จะกลับมาซ้อมได้อีกครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่น่าได้รับโอกาสลงสนามในเกมนี้ ทำให้โอกาสอาจจะไปอยู่กับ ไทโรน มิงส์ หรือ เบน ไวท์ ที่จะได้ยืนคู่กับ จอห์น สโตนส์ ส่วนแดนกลางน่าจะมีชื่อของ แจ็ค กรีลิช กับ เมสัน เมาท์ ที่ฟอร์มยอดเยียมในระดับสโมสร คอยทำเกมให้กับ แฮร์รี เคน กัปตันทีม ที่จะลงสนามล่าตาข่าย
ฝั่งโครเอเชียที่เข้ามาเล่นในฟุตบอลยูโรครั้งนี้เป็นสมัยที่ 6 แม้ในระยะหลังทีมของ ซลัตโก ดาลิช ฟอร์มจะดูดร็อปลงมาจากช่วงฟุตบอลโลก จนทำได้แค่ผ่านรอบคัดเลือกในฐานะที่ 2 ของกลุ่ม แต่ในรอบสุดท้ายของยูโรนั้น โครเอเชียมีสถิติที่ยอดเยี่ยม พวกเขาแพ้เพียง 2 นัด จากการเล่น 11 นัดหลัง คือแพ้ต่อสเปนในปี 2012 และแพ้ต่อโปรตุเกสในปี 2016 กล่าวคือความพ่ายแพ้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือความพ่ายแพ้ต่อทีมแชมป์ในบั้นปลายนั่นเอง
ทัพตราหมากรุกไม่มีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บแบบที่อังกฤษต้องเผชิญ โดย โดมากอยจ์ วิดา, ซิเม เวอร์ซัลจ์โก และ บอร์นา บาริซิช พร้อมลงดูแลเกมรับ แดนกลางตัวหลักอย่าง มัตเตโอ โควาชิช, มาร์เซโล โบรโซวิช, อันเท เรบิช, อีวาน เปริซิช และ ลูกา โมดริช พร้อมลงคุมเกมแดนกลาง และแดนหน้าจะเป็นหน้าที่ของ บรูโน เพ็ตโควิช ที่มาทำหน้าที่แทน มาริโอ มันด์ซูคิช ที่รีไทร์ไปตั้งแต่หลังฟุตบอลโลก 2018 จบลง
😬💥 So close, yet so far.@LuukdeJong9 🔥#EURO2020 | #NED pic.twitter.com/tPmYNnqaT3
— OnsOranje (@OnsOranje) June 9, 2021
เนเธอร์แลนด์กลับมาเล่นในยูโรอีกครั้ง หลังพลาดการเข้าร่วมปี 2016
เนเธอร์แลนด์ vs. ยูเครน การปะทะกันของ ‘ยักษ์หลับ’ กับ ‘ม้ามืด’
ข้ามมาดูที่เกมคู่ดึกที่จะลงสนามกันในเวลา 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทยกันก่อน เป็นเกมที่เนเธอร์แลนด์จะเปิดสนามโยฮัน ครัฟฟ์ อารีนา ในกรุงอัมสเตอร์ดัม พบกับยูเครน โดยนี่จะเป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองทีมในฟุตบอลเมเจอร์ระดับชาติ แต่การเจอกันในเกมกระชับมิตรก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง อัศวินสีส้มไม่เคยแพ้ โดยในปี 2008 เอาชนะไปได้ 3-0 และในปี 2010 เสมอกัน 1-1
ฮอลแลนด์พลาดการแข่งขันในยูโร 2016 และฟุตบอลโลก 2018 นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้เล่นในการแข่งขันระดับเมอร์เป็นเกมแรกในรอบ 7 ปี และทีมของพวกเขาก็ค่อนข้างพร้อมก่อนการลงสนามในเกมนี้ โดยนอกจาก มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ แนวรับจากยูเวนตุสที่อาจจะไม่ฟิต 100% แล้ว ตำแหน่งอื่นๆ ก็พร้อมสมบูรณ์ให้ แฟรงก์ เดอ บัวร์ กุนซือของทีม เลือกใช้งานในเกมนี้ทั้งหมด
ขณะที่ยูเครนเป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีเกินคาดในรอบคัดเลือก พวกเขาเข้ารอบมาเป็นที่ 1 ของกลุ่ม B พร้อมเขี่ยแชมป์เก่าอย่างโปรตุเกส หล่นไปเป็นเพียงที่ 2 ของกลุ่ม ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่เคยผ่านเข้าไปถึงรอบน็อกเอาต์ได้เลยในฟุตบอลยูโร และแพ้ติดต่อกันมาแล้ว 5 นัดติดในการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ แต่ครั้งนี้นั้นต่างออกไป ทั้งในแง่คุณภาพทีมและปริมาณของทีมที่จะเข้ารอบน็อกเอาต์
อังเดร เชฟเชนโก กองหน้าระดับตำนานของ เอซี มิลาน ให้โอกาสนักเตะหลายคนที่มีอายุน้อย หนึ่งในนั้นคือ อิลิยา ซาบาร์นี แบ็กขวาพรสวรรค์วัย 18 ปี ส่วนกองกลางซึ่งเป็นจุดแข็งของทีมชุดนี้น่าจะได้ลงสนามกันอย่างครบถ้วน ไล่ตั้งแต่ รุสลัน มาลินอฟสกี จากอตาลันตา, อันเดร ยาโมเลนโก จากเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยพวกเขาก็หวังจะผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์เป็นครั้งแรกในยูโรให้ได้ และนั่นต้องเริ่มต้นด้วยการทำให้ดีที่สุดในเกมนี้
โกรัน ปานเดฟ กองหน้ามากประสบการณ์ตัวความหวังของมาซิโดเนียเหนือ
ออสเตรีย vs. มาซิโดเนียเหนือ ‘หน้าเก่าที่ไปไม่ไกล’ พบ ‘หน้าใหม่ไม่ธรรมดา’
ออสเตรียเคยมาเล่นในฟุตบอลยูโรก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง คือ ปี 2008 และ 2016 โดยทั้งสองครั้งที่ว่ามา พวกเขาเป็นได้แค่ไม้ประดับ ต้องหยุดเส้นทางเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่ม แต่จากกฎในปีนี้ที่ให้ทีมอันดับที่ 3 ที่ดีที่สุด 4 จาก 6 อันดับ เข้าไปเล่นในรอบน็อกเอาต์ พวกเขาจึงตั้งเป้าไปสู่รอบต่อไปให้ได้เป็นครั้งแรก
ขุมกำลังของออสเตรียชุดนี้ส่วนมากค้าแข้งอยู่ในบุนเดสลีกา เยอรมัน เช่น สเตฟาน ไลเนอร์ กับ วาเลนติโน ลาซาโร จากโบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค, สเตฟาน พอสช์, ฟลอเรียน กริลลิตส์ช กับ คริสตอฟ บอมการ์ทเนอร์ จากฮอฟเฟนไฮม์ และ มาร์ติน ฮินเตอเร็กเกอร์ จากไอน์ทรัก แฟรงก์เฟิร์ต รวมไปถึง จูเลียน บอมการ์ตลิงเกอร์ จากไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และ คอนราด ไลเมอร์ จากแอร์เบ ไลป์ซิก โดยสภาพทีมของพวกเขาก่อนเกมนี้ค่อนข้างพร้อมทีเดียว
ขณะที่มาซิโดเนียเหนือแม้จะเพิ่งเข้ามาเล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็นครั้งแรก แต่พวกเขาก็มีสถิติที่ดีในรอบคัดเลือก หลังเก็บชัยชนะ 4 นัด และเสมออีก 2 ในรอบแบ่งกลุ่ม 10 นัด ก่อนจะประคองตัวผ่านรอบเพลย์ออฟเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายได้
บรรดานักเตะที่อยู่ในทีมชุดนี้ก็เป็นนักเตะคุณภาพกระจายอยู่ในลีกยุโรป ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตู สโตล ดิมิเตรฟสกี จากราโย บาเยกาโน, เอซกาน อลิโอสกี จากลีดส์ ยูไนเต็ด, โบบัน นิโคลอฟ มิดฟิลด์จากเลชเช, เอลิฟ เอลมาส กองกลางดาวรุ่งจากนาโปลี, ดาร์โก ชูร์ลินอฟ ปีกตัวจี๊ดจากสตุ๊ตการ์ต, อเล็กซานดาร์ ทราจ์คอฟสกี กองหน้าจากเรอัล มายอร์กา และ โกรัน ปานเดฟ หัวหอกตัวเก๋าจากเจนัว ดังนั้นพวกเขาก็อาจจะไม่ใช่หมูที่ถูกเคี้ยวได้ง่ายๆ เหมือนกัน
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/sport/football/51197735
- https://www.bbc.com/sport/football/51197759
- https://www.bbc.com/sport/football/51197742
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024451–england-vs-croatia/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024442–austria-vs-north-macedonia/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024441–netherlands-vs-ukraine/