เราได้ 4 ทีมสุดท้ายที่จะได้ไปต่อในรอบรองชนะเลิศของฟุตบอลยูโร 2020 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยอีกสองชาติที่ตบเท้าเข้ารอบต่อไปในสายล่างคือ เดนมาร์ก ที่เอาชนะสาธารณรัฐเช็กแบบสนุก 2-1 และอังกฤษที่โชว์ฟอร์มแกร่งไล่ถล่มยูเครน 4-0 โดยทั้งสองทีมจะไปเจอกันเองในสนามเวมบลีย์ เพื่อหาทีมที่จะเข้าไปชิงแชมป์กับผู้ชนะในสายบนอย่างอิตาลีกับสเปนต่อไป และนี่คือประเด็นที่น่าสนใจจาก 2 เกมเมื่อคืนที่ผ่านมา
การโชว์ฟอร์มที่ดีที่สุดของอังกฤษในฟุตบอลยูโร 2020
ไม่ใช่แค่ผลการแข่งขันเท่านั้นที่ทำให้อังกฤษดูมีสง่าราศีขึ้นมาหลังจากถล่มยูเครน 4-0 หากแต่ฟอร์มการเล่นของอังกฤษในเกมนี้เป็นฟอร์มการเล่นที่คู่ควรกับการถูกเรียกว่า ‘เต็งหนึ่ง’ มากกว่าเกมก่อนๆ อย่างเกมที่เอาชนะเยอรมนีมาก็ตาม เพราะอังกฤษได้แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก หลังจากก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้แสดงสิ่งนี้ออกมาสักเท่าไรนัก
อันที่จริงแล้วการเล่นของอังกฤษที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก กรุงโรมนั้นไม่ได้แตกต่างจากเกมก่อนๆ มากนัก พวกเขายังเล่นแบบ ‘รัดกุม’ เน้นความชัวร์ และเน้นปรัชญาไม่ได้ก็ไม่เสีย ซึ่งหากไปเทียบกันกับทีมอย่างอิตาลีหรือสเปนที่เข้ารอบมาเมื่อวานนี้ การเล่นของอังกฤษจะให้ความรู้สึก ‘ชวนง่วง’ กว่าอยู่บ้าง แต่สิ่งที่พวกเขาทำได้ดีในเกมนี้คือการพยายามเดินหน้าโจมตีคู่แข่งที่มากกว่าเกมก่อนๆ อาจจะเป็นเพราะความมั่นใจหรือความห่างชั้นกันก็แล้วแต่ แต่มันก็แสดงออกว่าอังกฤษไม่ได้มีดีแค่เกมรับ
ทั้งที่เจอกับทีมจากยุโรปตะวันออกที่เป็นอดีตสหภาพโซเวียตอย่างยูเครน ที่มีนักเตะตัวใหญ่อยู่ในทีม แต่พวกเขากลับทำประตูได้จากการโหม่งถึง 3 ประตูในเกมนี้ แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมจากการเข้าทำจากฝั่งริมเส้น และเตือนคู่แข่งที่จะเจอทั้งเดนมาร์กและอิตาลีหรือสเปนว่าพวกเขาน่ากลัวขนาดไหนหากปล่อยให้ขึ้นบอลจากข้างสนาม และที่น่ายกย่องคือเกมนี้ อังกฤษใช้โอกาสไม่เปลืองเลย เพราะพวกเขามีโอกาสยิง 10 ครั้ง เป็นถึง 4 ประตู ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในการแข่งขันฟุตบอลระดับเมเจอร์ โดยอีกครั้งที่พวกเขาทำได้เกิดขึ้นในเกมกับเยอรมนีตะวันตก (เดิมก่อนรวมประเทศ) เมื่อปี 1966 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกที่อังกฤษเอาชนะไปได้ 4-2
ดังนั้นฟอร์มในเกมนี้จึงมีส่วนสำคัญที่จะส่งสาส์นไปถึงคู่แข่งของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นเดนมาร์ก หรือชาติที่ต้องเล่นด้วยในรอบชิงชนะเลิศ (ถ้าหากผ่านทีม ‘โคนม’ ไปได้) ว่า อังกฤษไม่ได้มีดีแค่กับการเล่นแบบนำแล้วยันสกอร์เท่านั้น หากพวกเขาจะบุก เกมบุกของพวกเขาก็น่ากลัวเช่นกัน แถมในรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศในอีก 2 นัดต่อจากนี้ที่ ‘สิงโตคำราม’ จะลงสนาม พวกเขาจะได้เล่นในเวมบลีย์ทั้งหมดด้วย นี่จึงนับเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ในการพาฟุตบอลกลับบ้านจริงๆ
ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของเดนมาร์กกับเทพนิยายเดนส์ภาค 2
ครั้งสุดท้ายที่เดนมาร์กเข้ารอบรองชนะเลิศในฟุตบอลยูโรได้คือในฟุตบอลยูโร 1992 ซึ่งเป็นครั้งที่พวกเขาสร้าง ‘เทพนิยายเดนส์’ ขึ้นมาคว้าแชมป์ยุโรปได้สำเร็จเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว นับแต่นั้นมาถึงปัจจุบันเป็นเวลาถึง 29 ปีกว่าที่เดนมาร์ก จะเข้ามาถึงรอบนี้ได้อีกครั้ง แต่ที่น่าสนใจคือเดนมาร์กชุดนี้มีอะไรคล้ายๆ เดนมาร์กในชุดนั้นมากกว่าแค่เข้ารอบรองฯ ได้เหมือนกัน
ความเหมือนกันของทีมทั้ง 2 ชุด คือทีมยูโร 1992 กับทีมยูโร 2020 คล้ายกันตั้งแต่ตำแหน่งของผู้รักษาประตูที่มีนามสกุลชไมเคิลอย่างปีเตอร์คนพ่อ กับแคสเปอร์คนลูก ตามมาด้วยกองหลังกัปตันทีมที่ยังใส่เบอร์ 4 เหมือนกัน ทั้ง ลาร์ส โอลเซน กับ ซิมง เคียร์ ขณะที่กองกลางก็ไม่ธรรมดาหลายคน ทั้ง คิม วิลฟอร์ต, เฮนริก ลาร์สเซน ในปี 1992 ที่คล้ายกับ ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบิร์ก และ โธมัส เดลานีย์ ในชุดนี้ รวมไปถึงกองหน้าอายุน้อยแต่มากพรสวรรค์อย่าง ไบรอัน เลาดรูป ที่คล้ายกับ แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก
นอกจากความเหมือนในส่วนนี้แล้ว พวกเขายังมีความคล้ายไปในส่วนของการเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ที่รั้งบ๊วยมาเมื่อผ่าน 2 เกมแรก แต่เอาชนะได้ในเกมสุดท้ายและเข้ารอบมาในฐานะทีมอันดับที่ 2 ของกลุ่มไม่ต่างกันอีก และเดนมาร์กชุดยูโร 2020 ก็ฟอร์มแรงอย่างต่อเนื่องนับจากนัดนั้น โดยยิงใน 3 เกมหลังไปแล้วถึง 10 ประตู มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองเพียงแค่สเปนที่ทำไป 11 ประตูเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เส้นทางของพวกเขายังต้องเจอกับบททดสอบสำคัญอย่างอังกฤษ ที่จะได้เล่นในเวมบลีย์ ทั้งยังโชว์ฟอร์มดุมาในเกมก่อนกับยูเครน ซึ่งถ้าพวกเขาผ่านไปได้แล้วละก็ ถึงตรงนั้นคงมีแต่คนพูดถึงเรื่องของเทพนิยายเดนส์ภาค 2 เพราะเมื่อถึงนัดชิงฯ อะไรก็เกิดขึ้นได้แล้วทั้งนั้น
ดาวซัลโวจะเป็นใครในเมื่อผู้นำตกรอบกันไปหมดแล้ว
เหมือนเป็นเรื่องอาถรรพ์ที่ทำให้ชาติที่มีนักเตะทำประตูเยอะๆ ตกรอบไปเกลี้ยง โดยล่าสุดแม้ พาทริก ชิก จะยิงประตูที่ 5 ได้ทำให้ขึ้นไปรั้งตำแหน่งดาวซัลโวร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด แต่เขาก็เป็นอีกคนที่มีอันต้องตกรอบไปสาธารณรัฐเช็กพ่ายต่อเดนมาร์ก 1-2 ทำให้ตอนนี้นักเตะที่มีลุ้นอันดับดาวซัลโวจากการยิง 4 ประตูขึ้นไป ล้วนแต่ตกรอบไปหมดแล้ว ทั้ง โรเมลู ลูกากู, คาริม เบนเซมา, เอมิล ฟอร์สเบิร์ก รวมไปถึงชิกและโรนัลโดด้วย
นักเตะที่ลุ้นอันดับดาวซัลโวตอนนี้กลายเป็นนักเตะที่ยิงได้คนละ 3 ประตูเท่านั้น การยิงเพิ่มอีก 2 ลูกอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับเกม 2 นัดที่เหลือถ้าไม่ใช่พวกเขากำลังอยู่ในฟอร์มที่ดีและเข้าฝัก โดยทั้ง 3 คนที่ยิงได้คนละ 3 ประตูมีชื่อของ แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก จากเดนมาร์ก และ แฮร์รี เคน กับ ราฮีม สเตอร์ลิง จากอังกฤษ โดย 2 คนแรกเพิ่งจะมายิงเป็นกอบเป็นกำใน 2 เกมหลังนี่เอง
แตกต่างจากนักเตะ 3 รายข้างบน ทีมอิตาลีหรือสเปนไม่มีใครยิงอยู่คนเดียวแบบตายตัว หลายๆ คนทำประตูได้หมด โดยทีมอย่างอิตาลี มีนักเตะที่ทำ 2 ประตู ถึง 4 คน ส่วนสเปนมี 3 คน แต่อังกฤษมีเคนกับสเตอร์ลิงที่ยิงคนละ 3 ลูก และนอกนั้นคือ แฮร์รี แม็กไกวร์ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เพิ่งยิงไปเพียงคนละประตูเท่านั้น ดังนั้นตำแหน่งดาวซัลโวน่าจะยังมีลุ้นในอีก 3 เกมที่ยังมีการแข่งขันกันอยู่
ทั้งดอลเบิร์กและเคนต่างเพิ่งมาทำ 3 ประตูใน 2 เกมหลังของรอบน็อกเอาต์ แต่กลับต้องมาเจอกันเองในรอบรองชนะเลิศ ดังนั้นหากเกมดังกล่าวใครยิงได้ก็นอกจากจะมีโอกาสพาทีมได้ไปต่อ และยังมีลุ้นไปถึงการทำอันดับดาวซัลโวในบั้นปลายจากเกมรอบชิงชนะเลิศด้วย
ดังนั้นการเจอกันของอังกฤษกับเดนมาร์กในรอบต่อไปอาจจะไม่ได้มีเดิมพันแค่การเข้ารอบเท่านั้น อาจจะยังต้องรวมการเดิมพันไปถึงตำแหน่งดาวซัลโวไปด้วยก็ได้
อ้างอิง: